เปิดฉบับเต็ม!คำพิพากษา‘ประหารบรรยิน’สถานเดียว แฉพฤติการณ์ฆ่าอำพราง‘เสี่ยชูวงษ์’
20 มกราคม 2564 ที่ศาลอาญาพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลอ่านคำพิพากษา “คดีฆ่าเสี่ยชูวงษ์” หมายเลขดำ อ.4915/2559 ที่นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกับพวก และพนักงานอัยการ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-5 ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: ด่วน! ศาลสั่งประหารชีวิต'บรรยิน' คดีฆ่า'เสี่ยชูวงษ์' พยานหลักฐานมัดแน่น ดิ้นไม่หลุด)
กรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2558 นายชูวงษ์ อายุ 50 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ ทะเบียน ภฉ 1889 กทม. ชนต้นไม้ มี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย เป็นคนขับ มีนายชูวงษ์นั่งข้างๆ โดยชนต้นไม้ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. เป็นเหตุให้นายชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ แต่ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย ให้การปฏิเสธอ้างเป็นอุบัติเหตุ เหตุเกิดที่ ต.บางโฉลง กับ ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และแขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน
โดยวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาให้ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย ฟังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งใช้คุมขังพ.ต.ท.บรรยิน ที่ถูกจำคุกตลอดชีวิตคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอาวุโสศาลอาญากรุงเทพใต้ เจ้าของสำนวนปลอมแปลงเอกสารใบโอนหุ้นของนายชูวงษ์
ขณะที่บรรยากาศในวันนี้ฝ่ายโจทก์ มีนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของนายชูวงษ์, อัยการและทนายความโจทก์ ส่วนฝ่ายจำเลยมีนางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา และ นายวรภัทร์ ตั้งภากรณ์ บุตรชายของ พ.ต.ท.บรรยิน พร้อมทีมทนายความเดินทางมาศาล โดยศาลอนุญาตให้สื่อมวลชนถ่ายภาพภายในห้องพิจารณาคดีก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาได้
ต่อมาศาลออกนั่งบัลลังก์ ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แล้วเสร็จในเวลา 12.00 น.
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของโจทก์ และจำเลยที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ฝ่ายโจทก์มีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนมานำสืบว่า จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เพื่อไปส่งผู้ตายที่บ้านโดยไม่ได้แวะที่ใด ระหว่างทางขณะที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80 กม.ต่อชั่วโมง เมื่อขับรถไปถึงบริเวณ ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 มีรถยนต์จากฝั่งตรงข้ามวิ่งแซงสวนทางล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถที่ จำเลยใช้อยู่ จำเลยจึงต้องหักเลี้ยวหลบไปทางซ้าย จนรถยนต์กระแทกขอบทางเท้าและพุ่งผ่านรั้วลวดหนามเข้าไปตรงบริเวณที่รกร้างข้างทางชนเข้ากับต้นไม้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่จากการสืบสวนสอบสวน พบภาพรถยนต์ของจำเลยขับผ่านกล้องวงจรปิดตรงบริเวณธนาคารกสิกรไทยฯ สาขาถนนบางนา-ตราด กม.18 ที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าออกสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และพบรถยนต์ของนายชาญศักดิ์ คนสนิทพ.ต.ท.บรรยิน ขับผ่านกล้องวงจรปิดดังกล่าวเมื่อเวลา 20.14 น.
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ เสาส่งสัญญาณ บางโฉลงใน ตรงบางนา-ตราด กม.16 เมื่อเวลา 20.29 น. และที่เสาส่งสัญญาณซอยรัตนราช ตรงบางนา-ตราด กม.17 เมื่อเวลา 21.06 น. ซึ่งเสาทั้งสองตั้งอยู่ห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กม.จึงเชื่อว่า จำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 20.11 น. มิใช่ 21.00 น. อย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง
รวมทั้งจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตรงบริเวณใกล้กับจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้พบว่า จำเลยใช้ช่องทางเดินรถที่ 1 จากซ้ายและขับรถที่ความเร็วประมาณ 30 กม.ต่อชั่วโมง เท่านั้นมิใช่ความเร็ว 80กม.ต่อชั่วโมงที่จำเลยอ้าง ทั้งฝ่ายโจทก์ยังมีกลุ่มพยานผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบการขับรถเบิกความยืนยันว่า จากการทดสอบพบว่า จำเลยใช้ความเร็วรถขณะชนทางเท้าและปะทะกับต้นไม้ที่ความเร็วประมาณ 30 กม
ต่อชั่วโมง จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยหักเลี้ยวรถไปทางซ้ายและชนกับทางเท้าจำเลยใช้ความเร็วรถประมาณ 30 กม.ต่อชั่วโมง นอกจากนี้ พยานกลุ่มเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยนำสืบว่า เมื่อไปถึงจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้ ผู้ตายไม่มีสัญญาณชีพแล้ว ม่านตาขยาย จึงไม่สามารถปั๊มหัวใจให้กลับมามีสัญญาณชีพได้
ส่วนพยานกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนำสืบว่า จากการชันสูตรศพพบบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายพื้นที่ 8×6 ซม. บาดแผลถลอกบริเวณคาง กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และพบเศษเนื้อสัตว์และผักเต็มกระเพาะอาหาร โดยระบุสาเหตุการตายว่า เลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นใน สมองบวม จากการถูกกระทบกระแทกด้วยของแข็ง ไม่มีคม ทั้งยังมีพยานกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขับรถเบิกความว่า รถยนต์คันเกิดเหตุมีเบาะรองศีรษะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่น่าส่งผลให้กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หักได้ และมีความเห็นทำนองว่าสภาพบาดแผลที่พบอันเป็นสาเหตุถึงแก่ความตายไม่สอดคล้องกับลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ
อีกทั้งการที่ตรวจพบเศษอาหารเต็มกระเพาะอาหารของผู้ตาย แสดงว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายประมาณ30นาที ถึง 1 ชั่วโมง เมื่อจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ห่างกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายมาก่อนที่จะเกิดเหตุชนต้นไม้ และบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายของผู้ตาย กระดูกต้นคอผู้ตายข้อที่ 6 และ 7 หัก และรอยถลอกใต้คางของผู้ตาย ไม่ได้เกิดจากการที่รถยนต์ชนต้นไม้
ฝ่ายโจทก์ยังมีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนเบิกความอีกว่า จำเลยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล บุตรสาวของ น.ส.ศรีธรา และ น.ส.กัญฐณา และได้ร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อโอนหุ้นของผู้ตายไปยัง น.ส.ศรีธรา และ น.ส.กัญฐณา
ส่วนที่จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานนั้น ก็เบิกความลอยๆมิได้นำพยานหลักฐานหรือผู้เชี่ยวชาญมาหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เพื่อมิให้ผู้ตายทราบถึงการกระทำความผิดที่จำเลยร่วมกับ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมในการโอนหุ้นของผู้ตายไปให้ น.ส.ศรีธรา หรือ น.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณา
จำเลยจึงร่วมกับผู้อื่นที่ไม่ทราบชื่อและจำนวนที่แน่นอนวางแผนฆ่าผู้ตาย โดยสร้างเรื่องราวว่าในวันเกิดเหตุ ผู้ตายมีนัดเล่นกอล์ฟกับจำเลยและผู้ใหญ่ที่ผู้ตายเคารพนับถือไว้ ผู้ตายจึงจำต้องไปเล่นกอล์ฟด้วยโดยไม่อาจปฏิเสธได้
หลังจากนั้นวางแผนอ้างว่าจะขับรถพาผู้ตายไปส่งที่บ้าน แต่กลับใช้โอกาสดังกล่าวร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย โดยใช้อาวุธที่เป็นวัตถุของแข็งไม่มีคมตีจนถึงแก่ความตายบริเวณสถานที่ใดที่หนึ่งใน ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นจุดที่ปรากฏข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยจากเสาส่งสัญญาณบางโฉลงใน และเสาซอยรัตนราช ที่ห่างกันเพียงประมาณ 1 กม.และห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กม.เป็นเวลานานถึง 37 นาที และอำพรางคดีว่าสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ตรงบริเวณ ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
การกระทำของจำเลยกับพวก จึงเป็นการร่วมกันกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยกระทำความผิดด้วยความโลภอยากได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นอย่างมาก โดยอาศัยโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างจำเลยกับผู้ตาย และคบคิดกับพวกด้วยการวางแผนและลงมือฆ่าผู้ตาย จากนั้นปกปิดการกระทำโดยสร้างเรื่องและอำพรางคดีว่าสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุ
เมื่อถูกจับกุมดำเนินคดี ก็มิได้รู้สำนึกในการกระทำของตนและบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด แต่กลับปฏิเสธและต่อสู้คดีมาโดยตลอด ทั้งจำเลยยังเคยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงควรต้องมีสำนึกและความรู้ผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำความผิดโดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง จากพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ขณะที่ข้อต่อสู้ อ้างเพียงลอยๆ เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต สถานเดียว ส่วนที่โจทก์ที่ 5 มีคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ (คดีปลอมเอกสารโอนหุ้นของนายชูวงษ์) และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.69/2563 ของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (คดีอุ้มฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษา) นั้น เนื่องจากศาลมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย จึงไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้ ยกคำขอในส่วนนี้
ภายหลัง นางวันเพ็ญ ธนธรรมศิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจกับคำตัดสินของศาล คุ้มค่ากับระยะเวลาที่รอมานาน ขอบคุณองค์คณะผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว และขอบคุณสื่อที่ติดตามคดีนี้มาโดยตลอด ส่วนตัวเชื่อว่ามีคนอื่นที่ร่วมกันฆาตกรรมน้องชายตนเอง เนื่องจากในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาก็มีผู้ร่วมลงมือก่อเหตุ พร้อมกับขอแสดงความเสียใจไปยังผู้พิพากษาที่ต้องสูญเสียพี่ชายจากคดีโอนหุ้นด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี