คุก 20 ปี ‘บรรยิน’ คดีฟอกเงิน จากการโอนหุ้น ‘เสี่ยชูวงษ์’ ยกฟ้องแม่-น้องชาย

คุก 20 ปี ‘บรรยิน’ คดีฟอกเงิน จากการโอนหุ้น ‘เสี่ยชูวงษ์’ ยกฟ้องแม่-น้องชาย

วันอังคาร ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567, 19.37 น.

ศาลสั่งจำคุก 54 ปี เสี่ย“บรรยิน” อดีต รมช.พาณิชย์  ฟอกเงินกว่า 60 ล้าน   เหลือจำจริง 20 ปีตามกฎหมาย หลังปลอมเอกสารโอนหุ้นเสี่ย ‘เสี่ยชูวงษ์’ โอนเข้าบัญชี ยกฟ้องแม่และน้องชาย น้องป้อนข้าวอดีตโบรกเกอร์สาว ชี้ยังมีเหตุให้สงสัย

 


วันที่ 30 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีฟอกเงินหมายเลขดำ ดำ ฟ 48 /2565ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายอดีตพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ จำเลยที่ 1 น.ส.ศรีธรา หรือ เพ็ญนิชชา พรหมา จำเลยที่ 2 มารดาของน.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาวคนสนิท และนายประวีร์ วัชรประยงค์ยุติ หรือ นายชัยพรรณ วชิรกุลฑล จำเลยที่ 3  น้องชายของ น.ส.อุรชา เป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า  นายบรรยิน จำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์สาวคนสนิท จำเลยที่ 2 ในคดีฟ.33/2565 ของศาลนี้ภสมคบกันและร่วมกันปลอมเอกสารจำนำหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่เสียชีวิตแล้ว ได้ลงลายมือชื่อไว้เพื่อจำนำหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) โดยแก้ไขสาระสำคัญจากการจำนำหุ้น เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของ น.ส.อุรชา โดยไม่มีค่าตอบแทน เพื่อร่วมกันลักเอาหุ้นนั้นไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต รวม 510,000 หุ้น มูลค่า 35,050,000 บาท และ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตสาวพริตตี้ จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ฟ.33/2565 ของศาลนี้ ซึ่งให้การรับสารภาพ ปลอมเอกสารจำนำหุ้นอันเป็นเอกสารสิทธิที่นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ลงลายมือชื่อไว้ โดยแก้ไขสาระสำคัญการจำนำหุ้นเป็นการโอนหุ้นบริษัทพลังบริสุทธิ์ (อีเอ EA ) ของนายชูวงษ์ไปให้กับน.ส.กัญฐณา จำนวน 9,500,000 หุ้น คิดเป็นเงิน 228,000,000 บาท แล้วมีการขายหุ้นแล้ว โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า 2 ชื่อ เป็นบัญชี น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 28,000,000  บาท

การกระทำของน.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา ดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาแล้วปรากฎตามคดีอาญา หมายเลขแดง ที่ อ.636/2563,อ.637/2563 และ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ อันเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารสิทธิ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ หนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือ เพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (14) จำเลยทั้งสามกับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ถอนเงิน โอนเงิน อันเป็นการโอนหรือรับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด  เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อน หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเป็นการปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน อำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา หรือครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญา เหตุเกิดที่  แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวงเขต เขตบางกอกน้อย กทม.และอื่นๆ 

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่ นายบรรยิน จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ คดีหมายเลขดำอ.636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ 

โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เบิกตัว นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2,3 ได้ประกันตัว เดินทางมาฟังคำพิพากษา

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล  ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง และนำมาสู่การเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และในคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องที่ศาลอาญาพระโขนง ซึ่งทั้งสองคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว 

ซึ่งคดีนี้ โจทก์มีเจ้าหน้าที่ ปปง.พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ธนาคาร เบิกความสรุปได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา ร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อโอนหุ้นของนายชูวงษ์และนำมาสู่การเสียชีวิตของนายชูวงษ์ในคดีความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการปลอมเอกสารแล้วจากการสืบสวนเส้นทางการเงินพบว่ามีการโอนหุ้นเป็น 2 กลุ่ม จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชา ร่วมกันปลอมเอกสารแล้วโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 2 และขายหุ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 40 วัน จากนั้นโอนเงินที่ได้ไปยเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ของจำเลยที่ 2 รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 33,000,000 บาท แล้วเบิกถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารดังกล่าวหลายครั้ง รวมถึงเบิกถอนด้วยแคชเชียร์เช็คแล้วนำไปชำระค่าอสังหาริมทรัพย์โดนไปยังบัญชีบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่รับโอน หรือ โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของตนเองที่เปิดขึ้นใหม่ และปรากฏข้อเท็จจริงตามทางการสืบสวนว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องโดยใช้โทรศัพท์ติดต่อกับน.ส.อุรชา  จำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง รวมถึงในวันที่มีการทำธุรกรรมแต่ละรายการ โดยจำเลยที่ 1 มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พื้นที่เดียวกับจำเลยที่ 2 และ น.ส.อุรชา นอกจากนี้จากตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมพบว่า จำเลยที่ 1 กับ น.ส.อุรชามีบุตรด้วยกัน และน.ส.อุรชาได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด  และน.ส.อุรชายังซื้อรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ โดยไม่จดแจ้งชื่อผู้ครอบครองมาเป็นชื่อของตน มีเจตนาที่จะปกปิดอำพราง ต่อมารถยนต์คันดังกล่าว ถูก ปปง.มีคำสั่งอายัดไว้ก่อน จากการตรวจสอบก็พบเส้นผมของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถยนต์คันดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมใช้ประโยชน์รถยนต์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดมาเปลี่ยนแปลงสภาพ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับ น.ส.อุรชามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ก่อนที่จะเกิดเหตุในคดีความผิด จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่ 2 และ 3 พบว่ามีความเชื่อมโยงกัน กลุ่มที่ 2  น.ส.กัญฐณา รับโอนหุ้นมายังบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่เปิดไว้กับบริษัทอาร์เอสบี จำกัด ซึ่งบัญชีซื้อขายผูกติดกับบัญชีธนาคารกรุงเทพ เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 98,000,000 บาทเศษ ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าว และมีการซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ โอนเงิน และเบิกถอนเงินสด ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าผู้ที่เป็นตัวการหลักในการทำธุรกรรมคือจำเลยที่ 1 เดินทางไปธนาคารเพื่อถอนเงินสดด้วยกัน  

ศาลเห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา ปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อมุ่งให้ได้รับประโยชน์ในมูลค่าของหุ้นนายชูวงษ์ ในส่วนวิธีการโอนหุ้น การขายหุ้น การโอนเงินและเบิกถอนเงินที่ได้จากการขายหุ้นไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามเอกสารไม่ปรากฏว่ามีชื่อจำเลยที่ 1 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา บ่งชี้ว่าเป็นการวางแผนร่วมกันมาตั้งแต่ต้น โดยแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยที่ 1 น.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่ได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมหรือการโอนหุ้นของน.ส.อุรชาและน.ส.กัญฐณา จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

ส่วนที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ไม่มีการปลอมเอกสารสิทธิและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้น ไม่มีความสัมพันธ์กับน.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณา นั้นเป็นการนำสืบโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชา และน.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แม้ว่าคำพิพากษาจะยังไม่ถึงที่สุดโดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่ถือได้ว่าผลของคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้มีน้ำหนักที่รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับ น.ส.อุรชาและ น.ส.กัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิเกี่ยวกับการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟ้งได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับน.ส.อุรชา และ น.ส.กัญฐณากระทำความผิดตามฟ้อง 

ในส่วนของจำเลยที่ 2 และ 3 นั้นเห็นว่าจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 และ 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชากระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพื่อประโยชน์ในการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ขายหุ้น รับโอนเงิน ถอนเงิน และซื้อบ้าน ที่ดินอย่างไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 รับโอนหุ้น ขายหุ้นของนายชูวงษ์ รับโอนเงินจากการขายหุ้น โอนเงิน ถอนเงิน นำเงินมาซื้อบ้านและที่ดิน และจำเลยที่ 3 รับโอนเงินจากจำเลยที่ 2 และถอนเงินโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของน.ส.อุรชา และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และเป็นน้องชายของ น.ส.อุรชา ถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ยอมรับว่า รับดำเนินการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ตามคำสั่งของ น.ส.อุรชา และโดยการจัดการของ น.ส.อุรชา ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าว เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน หรือ จากการสนับสนุนหรือช่วยเหลือการกระทำที่เป็นความผิดมูลฐาน อันเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามฟ้อง กรณีจึงยังมีเหตุอันควรเชื่อว่า จำเลยที่ 2 และ 3 อาจรับดำเนินการให้ น.ส.อุรชา โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 2 และ 3 รู้ว่าหุ้นและเงินที่ได้จากการขายหุ้น เงินที่รับโอนและโอนไปยังบัญชีธนาคารอื่น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 และ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง 

พิพากษาว่า นายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1)(2)(3) ,60  เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามป.อาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 2 ปี จำนวน 27 กระทง รวมจำคุก 54 ปี เมื่อรวมโทษจำคุกแล้ว ให้จำคุกนายบรรยิน จำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี ตามกฎหมาย และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.636/2563 หมายเลขแดงที่ อ.637/2563 และหมายเลขดำที่ อ.638/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ จำเลยที่ 3.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายบรรยิน นั้นขณะนี้ถูกคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารชีวิต คดีร่วมกันฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด .

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top