ลามคุกเอาไม่อยู่
ติดเพิ่ม1,219ผู้ต้องขัง3เรือนจำ
สมศักดิ์สั่งผุดโรงพยาบาลสนาม
‘โคราช’ผวาชาวอินเดียติดโควิด
เร่งตรวจสอบหาสายพันธุ์ให้ชัด
กรมราชทัณฑ์ เปิดยอดผู้ต้องขัง 3 เรือนจำ กลุ่มลาดยาว ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 1,219 คน แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาแพร่ระบาดโควิด ยืนยันยังคุม สถานการณ์ได้ “สมศักดิ์” สั่งเรือนจำทั่วประเทศสร้าง รพ.สนามพร้อมขอรับบริจาคอุปกรณ์สนับสนุนด้านการแพทย์ โคราชผวาซ้ำเจอชาวอินเดีย ติดเชื้อโควิด เร่งตรวจหาสายพันธุ์ให้แน่ชัด
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม สถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในเรือนจำที่มีจำนวนติดเชื้อต่อเนื่องนั้น ทางกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยยอดผู้ติดเชื้อจากการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อแบบเชิงรุกแบบ 100% โดยเฉพาะในเรือนจำและทัณฑสถานในกลุ่มลาดยาวที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูง พบยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 1,219 คน ใน 3 เรือนจำ ประกอบด้วย เรือนจำกลางคลองเปรม (510 คน) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (88 คน) และเรือนจำพิเศษธนบุรี (621 คน) (ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2564) ทั้งนี้ เป็นผู้ต้องขังกลุ่มสีแดงที่มีการส่งตัวรักษาโรงพยาบาลภายนอกจำนวน 6 ราย ส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดเป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนว่ายอดผู้ติดเชื้อที่พบในเวลานี้สืบเนื่องจากการเร่งตรวจเชิงรุกในผู้ต้องขังแบบ100%ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ในการบับเบิ้ลแอนด์ซีลทั่วประเทศ อีกทั้งความสามารถในการตรวจหาเชื้อที่ดำเนินการได้ในปริมาณมากขึ้น จากการสนับสนุนของสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่โรงพยาบาลแม่ข่ายรวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ร่วมตรวจหาเชื้อ ด้วยวิธี RT-PCR ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อแยกกลุ่มเป้าหมายที่ติดเชื้อและกลุ่มที่ยังไม่ติดเชื้อแยกจากกัน จนสามารถตรวจแล้วเสร็จ 100%ในระยะเวลารวดเร็ว ก่อนที่จะรายงานข้อมูลทั้งหมดไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.
สั่งเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
โดยต่อจากนี้กรมราชทัณฑ์ จะดำเนินการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นใน 2 กรณี คือ 1. การติดเชื้อจากเจ้าหน้าที่ในเรือนจำ ซึ่งต้องตรวจหาเชื้อทุก 14 วัน พร้อมทั้งเฝ้าระวังไม่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงครอบครัวด้วย 2. การติดเชื้อจากผู้ต้องขังเข้าใหม่ ผู้ต้องขังไปโรงพยาบาล และผู้ต้องขังออกศาล ได้เพิ่มระยะเวลาในการกักตัวจากเดิม 14 วันเป็น 21 วัน โดยต้องตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง ก่อนเข้าห้องแยกกักโรค และก่อนครบระยะกักตัว นอกจากนี้ ยังได้หาแนวทางต่าง ๆ เพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังเข้าใหม่ ตลอดจนเน้นการไต่สวนผ่านระบบ Conference เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผู้ต้องขังไปศาล รวมทั้งเร่งจัดหาวัคซีนป้องกันเชื้อแก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง โดยขณะนี้เริ่มฉีดวัคซีนแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำส่วนใหญ่แล้ว สำหรับผู้ต้องขังจะเริ่มต้นในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัวจนครอบคลุมผู้ต้องขังทุกรายในที่สุด
พร้อมกันนี้ กรมราชทัณฑ์ ได้แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศกค.รท) เพื่อเป็นการรับมือ แก้ไขและจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะทำให้กรมราชทัณฑ์ สามารถดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเร่งประสานไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย การเตรียมความพร้อมจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม และสำรองยาที่ใช้รักษาให้เพียงพอ โดยยึดหลักความเท่าเทียม ในด้านการรักษาพยาบาลอย่างเสมอภาค อนึ่งกรมราชทัณฑ์ ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการปกปิดข้อมูลผู้ติดเชื้อแต่อย่างใด ที่ผ่านมาจำเป็นต้องรอการรวบรวมเพื่อยืนยันยอดหลังตรวจครบ 100% ก่อนรายงาน ศบค.ซึ่งในระหว่างนั้น ก็มีกระบวนการรักษาผู้ติดเชื้อตลอดเวลา และหากรายใดต้องการแจ้งให้ญาติทราบ จะมีเจ้าหน้าที่คอยดำเนินการแจ้งเป็นการเฉพาะอยู่แล้วขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ต้องขังว่าต้องการแจ้งญาติหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากญาติมีความกังวลใจ สามารถติดต่อสอบถามที่เรือนจำและทัณฑสถานที่ผู้ต้องขังถูกคุมขังอยู่ได้ โดยสามารถค้นหาช่องทางติดต่อได้ที่ Line ID @thaidoc
รพ.ราชทัณฑ์’เปิดขอรับบริจาค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะนี้ทางโรงพยาบาลทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาแต่ผู้ต้องขัง ต่อมาทาง รพ.ได้ทำการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด จึงขอรับบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยในการดูแลรักษาผู้ต้องขังใน รพ.สนาม ได้แก่ ชุด PPE แบบเต็ม และแบบสั้น Surgical mask and N95 Pulse oximeter รองเท้าบูท ถุงมือแพทย์ Alcohol gel Eye goggle หมวกคลุมผม อาหาร และเครื่องดื่ม ทั้งนี้ สามารถจัดส่งสิ่งของมาที่ พญ. พิมลดา แสงสิทธิ์ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (โรงพยาบาลสนาม) 33/2 ถ.งามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม 10900 โทร. 02 953 3999
สั่งเรือนจำทั่วปท.สร้างรพ.สนาม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงแผนงานการรับมือสถานการณ์โควิด-19ที่กระจายเข้าสู่เรือนจำว่า จากนี้เรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่กทม.8 แห่งและอีก4 เรือนจำ /ทัณฑสถานในเขตปริมณฑล มีความจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อโควิดให้ผู้ต้องขัง100% เพื่อป้องกันการลุกลามแพร่กระจายภายในเรือนจำและเพื่อให้ญาติผู้ต้องขังและสังคมสบายใจ โดยกรมราชทัณฑ์ จะรีบประสานโรงพยาบาลแม่ข่าย กรมควบคุมโรคกรม การแพทย์ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณหลักจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ให้เข้าช่วยในการตรวจหาเชื้อในครั้งนี้ ส่วนเรือนจำในต่างจังหวัด ก็มีความจำเป็นต้องยกระดับการป้องกันโดยใช้แนวทางบับเบิ้ลแอนด์ซีลเพื่อความปลอดภัย เช่นกัน
“เวลานี้เรือนจำทั่วประเทศจะต้องมีการเตรียมความพร้อมทำโรงพยาบาลสนามซึ่งอาจจะต้องกันแดนไว้1แดน เพื่อจัดทำโรงพยาบาลสนาม เตรียมพร้อมรับมือ หากเรือนจำใด ไม่มีพื้นที่ในการจัดทำโรงพยาบาลสนามก็ให้วางแผนไปใช้พื้นที่ของทัณฑสถานเปิดหรือ สถานกักกัน ปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลสนาม บางจังหวัดที่มีเรือนจำเก่า อาทิ ภูเก็ต เพชรบุรีและนราธิวาส อาจต้องนำเรือนจำเก่ามาปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลสนาม ในส่วน กทม.ได้สั่งการให้กลุ่มงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงพื้นที่โดยรอบบ้านสวัสดีที่อยู่ในบริเวณด้านหน้าของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯทำโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม และในช่วงนี้ให้เรือนจำทุกแห่งประสานไปยังศาล เพื่อขออนุญาตชะลอการส่งตัวผู้ต้องขังไปเข้ากระบวนการระยะหนึ่ง”นายสมศักดิ์ย้ำ
เตรียมของบกลาง จัดหาอุปกรณ์
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า จากนี้ไปกระทรวงยุติธรรม ที่เป็น ผู้กำกับงานกรมราชทัณฑ์ มีความจำเป็นต้องของบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่จะใช้ในเรือนจำเช่นชุดPPEเครื่องวัดอุณหภูมิความดันออกซิเจน รวมถึงนำไปปรับปรุงโรงพยาบาลสนาม และแดนกักโรคที่มีมาตรฐานมากกว่าเดิม ซึ่งทางกองบริการทางการแพทย์ กรมราชทัณฑ์จะเป็นผู้พิจารณาว่าในแต่ละพื้นที่จะใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง เวลานี้กำลังตรวจสอบถึงเหตุผลการของบประมาณ ตนจะพยายามนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้เร็วที่สุดและในวันพรุ่งนี้(16 พ.ค.)จะเข้าไปติดตามงานที่กรมราชทัณฑ์
ปิดตลาดยิ่งเจริญ7วัน ติดเชื้อ24ราย
ขณะที่ ตลาดยิ่งเจริญ ออกประกาศปิดให้บริการโดยระบุว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ทั่วประเทศ และในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งภายในตลาดยิ่งเจริญ ทางสำนักงานเขตบางเขนได้ร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุข ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 24 บางเขน สํานักอนามัย กรุงเทพมหานครและสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.)กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรการเพื่อแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโรคฯตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2564 ถึงปัจจุบัน วันนี้ทางตลาดฯจึงประกาศการดำเนินการต่างๆ ดังต่อไปนี้
โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ทางตลาดได้รับทราบผลการตรวจเชิงรุกผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มจํานวน 10 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (สีส้ม) ในพื้นที่ที่ตลาดฯได้ทําการปิดไปแล้ว (โดยได้ส่งแผนผังมาพร้อมกับประกาศนี้) จึงมียอดผู้ป่วยติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 8-14 พฤษภาคม 2564 รวม 24ราย เพื่อเป็นการปฏิบัติตามหลักการสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดโรค และการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อที่ทันท่วงที “ตลาดยิ่งเจริญ”จึงปิดให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 เวลา 18.00 น. จนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2564และมีกําหนดเปิดตลาดในวันที่ 24 พฤษภาคม 2564
สำหรับ“ผู้ค้า ผู้ช่วยค้า แรงงานข้ามชาติ บุคลากร รวมทั้งชุมชนหลังตลาด”ศูนย์บริการสาธารณสุข 24 บางเขน และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง จะมาทําการตรวจหาเชื้อทั้งหมดตั้งแต่วันที่16-20 พฤษภาคม 2564โดยทางตลาดจะดำเนินการจัดคิวรายชื่อเพื่อให้เข้ารับการตรวจ โดยจะให้ผู้จัดการพื้นที่แจ้งนัดหมาย กำหนดหลักปฏิบัติในช่วงเวลาที่ตลาดปิดให้บริการ ผู้ค้า ผู้ช่วยค้า แรงงานข้ามชาติ บุคลากร และชุมชนหลังตลาด ต้องพักอาศัยอยู่บ้าน ห้ามเดินทางไปสถานที่อื่น เพื่อหยุดการรับและแพร่โรค โดยหากพบว่ามีการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตาม ทางตลาดจําเป็นต้องยกเลิกการเช่าการจ้างและห้ามเข้าตลาดอีกต่อไป สำหรับลูกค้าผู้เข้ามาใช้บริการตลาดฯตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2564เป็นต้นมา ขอให้เฝ้าสังเกตอาการตนเอง ครอบครัว หากมีอาการที่เสี่ยงการติดเชื้อ ขอให้ไปพบหน่วยบริการสาธารณสุขภาครัฐใกล้บ้าน
โคราชมีชาวอินเดียติดเชื้อเร่งหาสายพันธุ์
ที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)นครราชสีมา นายแพทย์วิชาญ คิดเห็น รองสสจ.นครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19ในพื้นที่ 32 อำเภอ ใน จ.นครราชสีมา พบผู้ป่วยระลอกใหม่ 7ราย ในพื้นที่ อ.เมือง 3 ราย อ.ชุมพวง 2 ราย อ.ปากช่อง 1 ราย และ อ.จักราช 1 ราย รวมยอดสะสม 799 ราย เสียชีวิต 7 ราย และรักษาหาย 505 ราย
ทั้งนี้ การสอบสวนโรคผู้ป่วยรายที่ 798 ชาวอินเดีย อายุ 56 ปี เบื้องต้น พักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 15 เดือน ต้องการเดินทางกลับประเทศอินเดีย จึงเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงมาตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลปากช่องนานา เพื่อขอใบรับรองทางการแพทย์ และยืนยันการพบเชื้อรวมทั้งนำเชื้อมาตรวจหาสายพันธุ์อีกครั้ง
ปิด3หมู่บ้านสกัดคลัสเตอร์กุนเชียง
นพ.วิชาญกล่าวถึงการเฝ้าระวังและค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มีความเชื่อมโยงคลัสเตอร์โรงงานผลิตกุนเชียง เบื้องต้นได้ตัดวงจรการแพร่ระบาด มีคำสั่งให้ปิดบ้านวัง หมู่ 3 ตำบลบ้านวัง อ.โนนไทย ถึงวันที่ 24 พ.ค.และบ้านหนองหว้า หมู่ 2 และ บ้านหนองหว้าบูรพา หมู่ 20 ต.โนนรัง อ.ชุมพวง ถึงวันที่ 25พ.ค.มีการติดเชื้อในครอบครัวเดียวกัน รวมทั้งมีคำสั่งให้ปิดโรงงานผลิตกุนเชียงและศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ จนถึงวันที่ 28พ.ค.นี้พบการระบาดคล้ายๆโรงงานที่ จ.สมุทรสาคร ลักษณะ“รังโรค”คือคนติดไปทั่ว การแยกกลุ่มเสี่ยงสูงต่ำทำได้ยาก ให้ตรวจลูกจ้างทุกคนรวม 2 ครั้ง
โรงงานกุนเชียงพบติดเพิ่ม2ราย
ล่าสุด พบการติดเชื้อเพิ่มอีก 2 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่กักตัวไว้โดยเป็นเครือญาติไปมาหาสู่กันประกอบด้วยผู้ป่วย รายที่796 เด็กหญิง อายุ 14 ปี รายที่ 797 หญิง อายุ 64 ปี ทำให้เกิดการติดเชื้อ 2 วง กระจาย 5 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.ชุมพวง อ.ขามสะแกแสง อ.โนนไทย และ อ.ด่านขุนทด รวมสะสม 32 ราย และการค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงรายที่ตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อได้กักตัวไว้เป็นเวลา 14 วัน และต้องตรวจหาเชื้อซ้ำเพื่อตัดวงจรการระบาดให้เบ็ดเสร็จ
ส่วนคลัสเตอร์โรงงานกุนเชียง ติดเชื้อกระจายไปใน 5 อำเภอคือ อ.เมือง อ.ชุมพวง อ.โนนไทย อ.ด่านขุนทด และ อ.สูงเนิน รวมแล้ว 30คน คณะกรรมการโรคติดต่อฯ ได้ประสานให้โรงงานปิดแผนกฝ่ายผลิตและศูนย์ของฝาก เร่งทำความสะอาด ส่วนผลิตภัณฑ์กุนเชียงที่จำหน่ายตามท้องตลาด ยืนยันยังปลอดภัย
ชลบุรียังป่วยเพิ่มอีก33เสียชีวิต 2
ขณะที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ชลบุรี มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย มีผู้ป่วยเชื้อโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 33 ราย จากโดยจากสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน ในครอบครัว 6 ราย จากที่ทำงาน 1 ราย และ ผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน ซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนโรค 5 ราย อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 21 ราย วันนี้ ได้รับราบงานการค้นหาผู้สัมผัสทั้งหมด 353 ราย, ค้นหาเชิงรุกเบื้องต้น อีกจำนวน 936 ราย, รถตรวจชีวนิรภัยพระราชทาน 250 ราย และอยู่ระหว่างการรอรับรายงาน การค้นหาเชิงรุกเพิ่มเติม ถึงแม้จะมีผู้ติดเชื้อลดลง แต่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเดินทางเข้าชลบุรีได้จากจังหวัดที่มีการระบาดในวงกว้างเช่นกทม.และผู้ติดเชื้อที่ยังคงหลงเหลือใน จ.ชลบุรี ยังคงมาตรการการควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้น
ประจวบฯติดเพิ่ม13คลัสเตอร์รง.
นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)ประจวบคีรีขันธ์ เผยว่าสถานการณ์โควิด พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13 คน ยืนยันสะสม 1,444คน อยู่ระหว่างการรักษา 389 คน รักษาหาย 1051 คน ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ เป็นคนไทย 6 ราย แรงงานชาวพม่า 7 ราย สำหรับคลัสเตอร์โควิด 19 จากโรงงานสับปะรดกระป๋องบริษัท ควอลิตี้ ไพน์แอปเปิ้ล โปรดักส์ ริมถนนบายพาสชะอำ-ปราณบุรี หมู่ที่ 3 บ้านหนองนกน้อย ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน มีผู้ติดเชื้อรวม 222 คน ต้องปรับสถานที่ในโรงอาหาร เป็น รพ.สนาม รองรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ แม้จะมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อชะลอตัว หลังทีมเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมสถานการณ์ได้
กักตัว12พนง ร.ร.แกรนด์หัวหิน
นพ.สุริยะกล่าวว่าส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงสูง 109 ราย จากจำนวน 402 ราย ในโรงงานสับปะรดฯซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงและพนักงาน ก่อนหน้านี้เข้าพักเพื่อกักตัวในโรงแรมหัวหินแกรนด์แอนด์พลาซ่าในเขตเทศบาลหัวหิน มีผลตรวจจากห้องปฏิบัติพบเชื้อโควิด 19จำนวน 20ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาหาร ภายหลังย้ายไปกักตัว ที่ รพ.สนามภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล สำหกรับโรงแรมหัวหินแกรนด์ฯหลังจากย้ายผู้ที่มีความเสี่ยงสูงออกจากโรงแรมเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม2564แล้ว การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อในห้องพักและให้พนักงาน 12 คน ที่เสริ์ฟอาหารโดยวางไว้หน้าห้องพัก ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำต้องกักตัว 14 วัน
เตรียมฉีดวัคซีน/รับจิตอาสาช่วย
นพ.พงษ์พจน์ ธีรานันตชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์กล่าวว่าขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมให้บริการวัคซีนโควิด-19ให้กับประชาชนจำนวนมาก ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากในการอำนวยความสะดวกประชาชน รพ.จึงเปิดรับสมัครจิตอาสาเพื่อช่วยปฏิบัติงานด้านการรักษาพยาบาลและงานสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาล ด้านบริการน้ำดื่ม ด้านประชาสัมพันธ์ และจิตอาสาด้านบริการทั่วไป โดยคุณสมบัติของจิตอาสาต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพื่อร่วมกันดูแลอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ให้ประชาชนได้รับวัคซีนเร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพ”นพ.พงษ์พจน์ กล่าว
เมืองคอนป่วย12 จองฉีดวัคซีน5หมื่น
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโรคโควิด -19 ระลอกใหม่ เดือนเมษายน ของ จ.นครศรีธรรมราช ณ เวลา 09.00 น.วันที่ 15 พ.ค.64 พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด -19 เพิ่ม 12 คน ยอดผู้ป่วยติดเชื้อฯ สะสมรวม 717 คน เสียชีวิต 8 คน รักษาหายแล้ว 376 คน
นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เผยว่าจ.นครศรีธรรมราชมีประชากรเป้าหมาย ที่ต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 จำนวน 989,441คนหรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากรทั้งจังหวัด ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 301,952 คน และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค 110,923 คน รวม 401,192 คน แต่จากการที่เปิดให้มีการลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนของกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1-14พฤษภาคม 2564 ปรากฏว่ามีผู้ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนแล้วกว่า 59,000คน คิดเป็นร้อยละ 14.74 แต่ก็ถือว่ายังน้อย จังหวัด ได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทั้งอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สาธารณสุข และอสม.ลงพื้นที่แบบเคาะประตูบ้านอธิบายสร้างความเข้าใจถึงผลดีในการฉีดวัคซีน และเชิญชวนให้ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยจะเริ่มฉีด1มิถุนายน
โควิดคร่าตร.ขอนแก่นรายที่2จว.
ที่วัดสว่างสุทธาวาส ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 เป็นประธานพิธีณานกิจศพ ร.ต.อ.ถนอม สาระกูล อายุ 59 ปี รอง สว(สส.) กก.สส.ภ.จว.ขก. (กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น) หลังเสียชีวติจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการปฎิบัติหน้าที่สืบสวนจับกุมคนร้าย และเมื่อช่วงกลางดึกคืนที่่ผ่านมา หลังเข้ารับการรักษาที่ รพ.ขอนแก่น มานานกว่า 1 เดือน ซึ่งเสียชีวิตเป็นรายที่ 2 ของจังหวัด ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของญาติและเพื่อนร่วมงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี