การแต่งกายด้วยผ้าไทย ถือเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของคนไทยที่สร้างความภาคภูมิให้คนไทยมาช้านาน สะท้อนถึงมรดกภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัย หากย้อนหลังกลับไปยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จะเห็นได้ว่า การแต่งกายของคนไทยมีวิวัฒนาการ จากแค่เครื่องห่มกาย จนนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับผ้าไทย
สู่สากล
สมัยรัชกาลที่ ๑ การใช้ผ้าเป็นไปตามฐานะและตำแหน่งหน้าที่การงานเช่นเดียวกับในสมัยอยุธยา ร.๑ โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการแต่งกายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้น้อย และราษฎรทั่วไป มีรายละเอียดของเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับที่อนุญาต และไม่อนุญาตให้สวมใส่
สมัยรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่ามีผ้าเพิ่มขึ้นอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า ผ้าโหมด หรือ ผ้าโหมดเทศ เป็นผ้าทอจากอินเดีย ทำด้วยกระดาษเงินและกระดาษทองพันเส้นไหมทอกับไหมสีต่างๆ เช่น สีม่วง สีน้ำเงิน เป็นลายริ้วหรือเป็นลายดอก ผ้าชนิดนี้ใช้ตัดเสื้อ ตอนแรกๆใช้สำหรับเจ้านาย แต่ต่อมาสามัญชนนำมาใช้ได้ และเป็นผ้าพระราชทานแก่แม่ทัพนายกองที่มีความชอบ
สมัยรัชกาลที่ ๓-๔ มีการกล่าวถึงการแต่งกายของสามัญชนบ้าง ผ้าบางชนิดนิยมใช้กับคนบางกลุ่ม เช่น คนมีเงินนิยมใช้แพรจีนสีต่างๆ โดยห่มหรือเย็บซ้อนกัน ๒ ชั้นใช้ผ้าสีนวลอยู่ข้างใน ริมผ้าขลิบลูกไม้ส่วนมุมผ้าติดพู่ ข้าราชการนิยมนุ่งผ้าปูม แต่เวลาเข้าเฝ้าจะนุ่งผ้าสมปัก ส่วนเจ้านายทรงผ้าลายเขียนทอง ผ้าปักทองแล่ง ผ้าเข้มขาบ
สมัยรัชกาลที่ ๕ มีจุดเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมงานผ้ามากขึ้น โดย ร.๕ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าเลิกนุ่งผ้าสมปัก เปลี่ยนมานุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินแก่แทน และใส่เสื้อสีต่างๆ ตามกระทรวง เช่น ข้าราชการกระทรวงกลาโหมใช้สีลูกหว้า กระทรวงมหาดไทยใช้สีเขียวแก่ กระทรวงการต่างประเทศใช้สีน้ำเงินแก่ อาลักษณ์และโหรใช้สีขาว
ได้ทรงสถาปนา “กรมช่างไหม” ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๒ มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมเป็นอธิบดีกรม และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนช่างไหมขึ้นที่วังใหม่สระปทุม โดยจ้างชาวญี่ปุ่นมาเป็นครูสอน ส่งผลให้มีการจัดทำเครื่องสาวไหมแบบญี่ปุ่น ซึ่งทำงานได้รวดเร็วและเส้นไหมเรียบสม่ำเสมอใช้แทนเครื่องสาวไหมของไทยที่ใช้กันมาแต่เดิม รวมทั้งได้แจกจ่ายเครื่องสาวไหมแบบใหม่นี้ไปให้แก่โรงเรียนช่างไหมที่ตั้งขึ้นในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดบุรีรัมย์ด้วย รวมทั้งหมดถึง ๔๐๘ เครื่อง เป็นที่น่าเสียดายว่า เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มีผู้ใดดำเนินงานต่อ โรงเรียนช่างไหมจึงล้มเลิกไป
สมัยรัชกาลที่ ๖ เริ่มมีการแต่งกายอย่างชาวตะวันตก เช่น ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบนหรือผ้าจีบหน้านาง เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงสำเร็จ ส่วนสไบนั้นมิได้เลิกใช้เสียทีเดียว แต่ใส่เสื้อผ้าลูกไม้แขนยาว แล้วใช้ผ้าสไบพาดทับเสื้ออีกทีหนึ่ง ผู้ชายก็นิยมนุ่งกางเกงและสวมเสื้ออย่างชาวตะวันตก มีการบัญญัติ คำว่า “ราชปะแตน” ขึ้น โดยนำเอาคำบาลีว่า “ราช” ผสมกับคำว่า “แพตเทิร์น” (pattern=แบบ) ในภาษาอังกฤษและออกเสียงเพี้ยนไปเป็นราชปะแตน มีความหมายว่า “แบบหลวง” เป็นการแต่งกายของข้าราชการในสมัยนั้น โดย เสื้อราชปะแตน เป็นเสื้อนอกสีขาวคอปิด มีรังดุม ๕ เม็ด ซึ่งปัจจุบันข้าราชการพลเรือนใช้แต่งเป็นเครื่องแบบขาว
สมัยรัชกาลที่ ๗ และรัชกาลต่อๆ มา ความนิยมแต่งกายแบบตะวันตกมีมาขึ้นตามลำดับ เช่น ให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เปลี่ยนมานุ่งกางเกงขายาวแทน เมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ รวมทั้งการแต่งกายของสตรีชั้นสูงก็เปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยมด้วย ส่งผลให้มีการซื้อผ้าจากต่างประเทศมากขึ้น และมีผลกระทบต่อการผลิตผ้าพื้นเมืองภายในประเทศ ซึ่งมักใช้กันเฉพาะในบางโอกาส หรือใช้กันในระดับชาวบ้าน และชนพื้นเมืองในบางท้องถิ่นเท่านั้น
ใน พ.ศ. ๒๔๗๘ มีการพัฒนาการทอผ้าโดยใช้เครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรกโดยกระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งโรงงานทอผ้าสำหรับใช้ในราชการทหารขึ้น เรียกว่า “โรงงานฝ้ายสยาม” เพื่อผลิตผ้าและสำลีใช้ในกิจการทหาร มีการสั่งซื้อเครื่องจักรทอผ้าและฝ้ายจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินงาน นับเป็นการเริ่มต้นอุตสาหกรรมทอผ้าด้วยเครื่องจักรแห่งแรกในประเทศไทย โดยผลิตผ้าสีขาวหรือสีพื้น ไม่มีลวดลายและสีสันงดงามเหมือนผ้าพื้นเมือง สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี มีการจัดตั้งกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ และได้จัดตั้งโรงงานทอผ้าของรัฐบาลจวบจนเข้าสู่แผนพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้นเรื่อยมา
จะเห็นได้ว่าการเดินทางของผ้าไทย นอกจากจะบ่งชี้ภูมิปัญญา ฝีมือ ความชำนาญ ยังสามารถเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจก่อเกิดเม็ดเงินทั้งภายในและภายนอกประเทศ จึงไม่อาจปฏิเสธในการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของผ้าไทยในแต่ละท้องถิ่น หากได้ศึกษาประวัติ จะทราบถึงความน่าทึ่งที่เรามีไม่แพ้ชาติใดในโลกเลย
เมื่อเร็วๆ นี้ คุณยุพา ทวีวัฒนะกิจบวรปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบหมายให้ สวจ.จัดทำอินโฟกราฟิกรณรงค์การแต่งกายผ้าไทยในระยะที่ ๒ ขึ้น หลังจากที่ระยะแรกได้รับกระแสตอบรับดีมาก โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือช่วยกันรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่นพร้อมกับสวมใส่เป็นแบบอย่างเพื่อจัดทำเป็นสื่ออินโฟกราฟิก (Infographic) เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์และสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยระยะที่ ๒ นี้ จะเพิ่มเติมข้อความรายละเอียด ชื่อและแหล่งที่มาของผ้าไทย เพื่อสื่อให้เห็นถึงคุณค่าและความเป็นอัตลักษณ์ของผ้าไทยในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งให้ประสานความร่วมมือหน่วยงานราชการภายในจังหวัดแต่งกายด้วยผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ วัน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าผ้าไทยสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง สามารถพัฒนาต่อยอดด้านการผลิตและแปรรูปผ้าไทยให้ทันสมัย ถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบาย เศรษฐกิจสร้างสรรค์อีกมิติหนึ่งของกระทรวงวัฒนธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี