การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกล่าสุดซึ่งเป็นระลอกที่ 3 นั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่า 2 ระลอกแรกรวมกัน กล่าวคือ จำนวนผู้ติดเชื้อหลักพันต่อวัน และผู้เสียชีวิตหลักสิบต่อวัน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือผลกระทบทางสังคม โดยหนึ่งในนั้นคือ“การศึกษา” ที่แต่เดิมก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่มากแล้วเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนชั้นนำกับโรงเรียนทั่วไป หรือโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนในชนบท และโควิด-19 ได้ทำให้ยิ่งเห็นชัดขึ้น
เสียงสะท้อนจากคนทำงานระดับ ในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ผลกระทบจากโควิด-19 วิกฤติที่มองไม่เห็น ความเหลื่อมล้ำของเด็กเปราะบางในชุมชนแออัด และพื้นที่เสี่ยง” เมื่อเร็วๆ นี้ อาทิ “ครูจิ๋ว” ทองพูล บัวศรี ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน (ไซต์ก่อสร้างและริมทางรถไฟ) กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงกับเด็กเร่ร่อนบนท้องถนนและคนต่างด้าวอย่างรุนแรง ทั้งในด้านการติดเชื้อจากคนในครอบครัว หรือมีคนในครอบครัวติดเชื้อ ซึ่งภาคประชาสังคมต้องประสานงานเพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้รับการรักษาหรือการกักตัวดูแลอย่างทันท่วงที
ขณะที่ในส่วนของไซต์งานก่อสร้างจำนวน 16 แห่งที่อยู่ในการดูแล ซึ่งเด็กทั้งหมดเกิดความเครียดเพราะติดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม กว้าง 2 เมตร ยาว 4 เมตรซึ่งครอบครัวทะเลาะกันและมีความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้น สิ่งสำคัญในการแก้ปัญหา คือ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันให้เด็กสามารถเข้าถึงทรัพยากรการดูแลของภาครัฐ เช่น ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรอง เพื่อให้ได้รับการดูแลจากสถานสงเคราะห์กรณีพ่อแม่ติดเชื้อ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในเรื่องปากท้อง และการช่วยเหลือเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา
“จากการสำรวจกลุ่มเด็กขายพวงมาลัย ทำงานบนท้องถนน เช่น ในย่านวัดญวน-คลองส้มป่อย และวัดพระยา พบว่า ปีนี้มีโอกาสหลุดจากระบบหลายสิบชีวิต บางส่วนค้างค่าเทอม ทำให้ไม่ได้ใบจบการศึกษา ทั้งที่ตั้งใจเรียนได้เกรด 4 ทุกวิชา บางคนไม่มีสิทธิ์ฝึกงาน ผู้ปกครองต้องไปกู้เงินนอกระบบ จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันทำให้เด็กกลับมาได้รับการศึกษา และเด็กเล็กควรได้รับการดูแลให้อิ่มท้องรวมถึงสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น แพมเพิร์ส นมผง เป็นต้น” ครูจิ๋ว ระบุ
เช่นเดียวกับ “ครูอ๋อมแอ๋ม” ศิริพร พรมวงศ์ ผู้จัดการโครงการคลองเตยดีจัง กล่าวถึงการรระบาดในพื้นที่คลองเตย ชุมชนแออัดที่มีประชากรร่วมแสนคน ว่า ปัญหาคือการที่เด็กติดเชื้อแต่ผู้ปกครองไม่ติด การช่วยเหลือต้องทำให้ผู้ปกครองได้ไปอยู่ในโรงพยาบาลสนามได้ ไม่เช่นนั้นเด็กก็จะไม่สามารถอาศัยได้ นอกจากนี้ได้รวบรวมข้อมูลเด็กในหลายชุมชน พบว่ามีเด็กในช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 12 ปี จำนวนมากที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล เนื่องจากครอบครัวสูญเสียงาน แต่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของเด็กเป็นจำนวนค่อนข้างสูง
เช่น ค่านมหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป สบู่ แป้ง ที่เด็กไม่สามารถใช้ร่วมกับผู้ใหญ่ได้และสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้พัฒนาการของเด็กไม่ขาดช่วง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ มอบสื่อการเรียนรู้และอาหารสำหรับช่วงวิกฤติ พยายามสร้างแรงจูงใจให้ครอบครัวได้ใช้เวลาด้วยกัน และต้องมองถึงการสร้างอาชีพให้พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงลูก การช่วยเหลือทำในมิติเดียวไม่ได้ในระยะยาวทุกครอบครัวก็มีภาระทางเศรษฐกิจที่ต้องแบกรับ
รวมถึง ชาญวิทย์ พวงมาเทศ ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจ กล่าวว่า โควิด-19 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะเขตคลองเตยที่เจอปัญหาหนักในเรื่องของการจัดการเรียนการสอน ซึ่งทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มีการกำกับดูแลการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดให้มีคุณภาพ แต่สำหรับเขตพื้นที่คลองเตยการเรียนออนแอร์และออนไลน์ทำได้น้อยมาก เนื่องจากบางบ้านไม่มีอินเตอร์เนต บางบ้านมีโทรศัพท์มือถือครอบครัวละ 1 เครื่องเท่านั้น
จากข้อจำกัดดังกล่าวจึงทำได้มากที่สุดคือออนแฮนด์ ซึ่งจากการปิดภาคเรียนปีที่แล้วใช้กระบวนการเยี่ยมบ้าน และนำใบงานไปให้เด็ก สำหรับปัญหาออกจากระบบการศึกษามีปัญหามากเช่นกัน เนื่องจากเด็กหลายคนเจอปัญหาเรื่องของรายได้ ทั้งนี้ ในส่วนค่าเรียนของโรงเรียนในสังกัด กทม. และโรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจจะไม่มีค่าใช้จ่ายเรียนฟรีทุกอย่างมีอาหารเช้าและกลางวัน โดยอาจมีบางส่วนที่ผู้ปกครองต้องจ่ายเพิ่ม เช่นค่าชุดนักเรียนที่ได้ 360 บาทต่อหัว ซึ่งหากจะมีชุดนักเรียนเรียนได้ครบทั้งสัปดาห์อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มบ้าง หรือชุดพละหรือชุดลูกเสือเนตรนารีที่จะได้ปีละหนึ่งชุดที่ต้องเลือกว่าจะเป็นชุดพละหรือชุดลูกเสือเนตรนารี ถือว่าเป็นการแบ่งเบาผู้ปกครองได้ในระดับหนึ่ง
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และอดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ผลกระทบจากโควิด-19 วิกฤติที่มองไม่เห็น ความเหลื่อมล้ำของเด็กเปราะบางในชุมชนแออัด และพื้นที่เสี่ยง” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า สถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ปัญหาการส่งต่อความยากจนเพิ่มขึ้น โดยเด็กและเยาวชนในพื้นที่เสี่ยงกำลังเผชิญ 4 ปัญหาใหญ่ที่มากับภาวะโรคระบาด ได้แก่
1.หลุดจากระบบการศึกษา เด็กกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงสูงในการหลุดออกจากระบบการศึกษา เนื่องจากหลายครอบครัวขาดรายได้ จึงไม่มีกำลังส่งเสียบุตรหลานให้เรียนไหว 2.คุณภาพการเรียนรู้ การปิดโรงเรียนทำให้ภาวะการเรียนรู้ของเด็กถดถอยกว่าปกติราว 2-5 เดือน ซึ่งจะยิ่งทำให้คุณภาพการเรียนรู้ในภาพรวมตกต่ำลงไปกว่าเดิมอีกมากถึงร้อยละ 50 3.ภาวะทุพโภชนาการ จากการกินไม่ครบมื้อ บางมื้อไม่ได้กินอิ่มเต็มที่ หรือได้สารอาหารไม่ครบหมวดหมู่จากการลงพื้นที่โรงเรียนยากจนพบว่าเด็กมากถึงร้อยละ 35-40 ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า
และ 4.ภาวะเครียดเงียบ เป็นผลจากห่วงโซ่ความรุนแรงของโควิด-19 ที่ทำให้เด็กและเยาวชนต้องซึมซับปัญหาเข้าไปในจิตใจ ทั้งเรื่องที่ครอบครัวต้องขาดรายได้ สภาพแวดล้อมใกล้ตัวที่มีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงคนรอบตัวกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด หรือการที่ต้องกักตัวไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ ทั้งที่ธรรมชาติวัยนี้ต้องได้วิ่งเล่นสนุกสนาน ขณะที่สิ่งเดียวที่ตอบสนองได้มีเพียงความเงียบ ซึ่งสังเกตได้ผ่านสายตาที่เศร้ากังวลของเด็ก
อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครู และสถานศึกษา กสศ. กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบภาวะ “ความรู้ถดถอย (Learning Lost)” ซึ่งพบว่าการเรียนออนไลน์ในพื้นที่ชุนชนแออัดเองก็ยังทำไม่ได้ กสศ. ทำงานร่วมกับครูจากเครือข่ายประชาสังคมของเด็กนอกระบบในชุมชนแออัด ซึ่งเป็นเสมือนอาสาสมัครการศึกษาของชุมชน ราว 100 คน พัฒนาพื้นที่ทดลองนำการเรียนรู้ไปหาเด็ก เพื่อเยียวยาผลกระทบด้านการเรียนรู้ถดถอย ไม่ให้พัฒนาการต้องหยุดชะงักและเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการช่วยเหลือระยะต่อไป
“กสศ. ได้ออกแบบโรงเรียนในถุง หรือถุงการเรียนรู้เติมยิ้มให้เด็กๆ ในพื้นที่ชุมชนโรงหมู ชุมชนริมคลองวัดสะพาน ชุมชนแฟลต 23-24-25 ชุมชนบ้านมั่นคง โรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจ รวมไปถึงบางพื้นที่ในชุมชนริมทางรถไฟ เช่น ชุมชนโค้งรถไฟยมราช ชุมชนบ่อนไก่ และชุมชนไซต์ก่อสร้าง 1,500 คน นอกจากชุมชนแออัดใน กทม. แล้ว ถุงการเรียนรู้ยังทดลองในพื้นที่ชนบท จ.น่าน พร้อมกับสนับสนุนอาสาสมัครการศึกษา
ด้วยแนวคิดที่ว่าวิกฤติแบบนี้จำเป็นต้องมีคนมาช่วยครู ทำให้เด็กได้เรียนรู้ จากสถานการณ์ยังมีบทเรียนคือ นักการศึกษาต้องมีทักษะและความรู้ ในการจัดการศึกษาภายใต้สถานการณ์การศึกษาใหม่ๆ ตลอดจนแนวทางการถ่ายทอดสู่นักเรียน และให้ความสำคัญกับการลดช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียน” ผอ.สำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครู และสถานศึกษา กสศ. กล่าว
ปิดท้ายด้วย อนรรฆ พิทักษ์ธานิน หัวหน้าโครงการสนับสนุนองค์ความรู้และพัฒนาเครือข่ายครูและเด็กนอกระบบการศึกษาในกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าบทบาทภาคประชาสังคมของชุมชนมีพลังสูงในการรับมือกับปัญหาความไม่แน่นอน ความเสี่ยงใหม่ที่เข้ามา ซึ่งระบบราชการไม่สามารถปรับตัวจัดการกับปัญหาได้ทัน ซึ่งคือโจทย์ระยะยาวที่ภาครัฐควรสนับสนุนระบบการทำงานกับภาคประชาสังคมเพื่อเป็นเพื่อนร่วมทาง ช่วยภาครัฐแก้ปัญหาได้ทันท่วงที เพราะระบบโครงสร้างราชการแบบเดิมนั้นปรับตัวได้ช้า
“เราจำเป็นต้องมีหุ้นส่วนที่ดีในการทำงาน โดยเฉพาะปัญหาของเด็กกลุ่มเปราะบางนั้นจะซับซ้อนหลากหลายขึ้น นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังไม่มีองค์ความรู้เชิงระบบในการบริหารจัดการ เด็กและเยาวชนลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ทั้งที่เป็นกลุ่มสำคัญในพื้นที่ กทม. และก่อให้เกิดผลกระทบสูง ประเด็นเรื่องสุขภาพทั้งด้านการตรวจ ดูแลรักษา ถือเป็นประเด็นเร่งด่วนที่รัฐต้องให้ความสำคัญ”อนรรฆ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี