ถอดบทเรียนระเบิดที่‘โรงงานกิ่งแก้ว’ รัฐบาลควรทำอย่างไร.?
11 กรกฎาคม 2564 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,266 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2564 เพื่อถอดบทเรียน และสะท้อนความคิดเห็นกรณีเหตุระเบิดโรงงานกิ่งแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ สร้างความเสียหายต่อประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบ รวมถึงอันตรายจากสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน สรุปผลได้ ดังนี้
1. ประชาชนคิดอย่างไร กับ เหตุการณ์ระเบิดที่โรงงานกิ่งแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ
อันดับ 1 เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง สร้างความเสียหายอย่างมาก 88.54%
อันดับ 2 เจ้าหน้าที่ขาดอุปกรณ์ เครื่องมือ จึงควบคุมเพลิงได้ช้า 83.87%
อันดับ 3 การสั่งการ การแก้ปัญหาค่อนข้างล่าช้า 82.13%
อันดับ 4 รู้สึกหดหู่ มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจำนวนมาก 76.68%
อันดับ 5 อยากรู้สาเหตุที่แท้จริงโดยเร็ว 41.58%
2. ประชาชนคิดว่าการระเบิดครั้งนี้ เกิดจากสาเหตุใด
อันดับ 1 การรั่วไหลของสารเคมี 67.02%
อันดับ 2 ระบบรักษาความปลอดภัยไม่มีประสิทธิภาพ 63.95%
อันดับ 3 มีเพลิงไหม้ลุกลามจนเกิดการระเบิด 51.66%
อันดับ 4 โรงงานก่อตั้งมานาน อาคารเก่า 39.53%
อันดับ 5 ไฟฟ้าลัดวงจร 26.68%
3. สิ่งที่อยากฝากถึงรัฐบาลจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้
อันดับ 1 ตรวจสอบโรงงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ 92.00%
อันดับ 2 มีมาตรการเยียวยาผู้เสียหาย ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ 89.78%
อันดับ 3 ควรมีระบบเตือนภัยที่รวดเร็ว และแนวทางการอพยพในสถานการณ์ฉุกเฉิน 78.45%
อันดับ 4 ทำงานเชิงรุก ประสานกับท้องถิ่น 70.60%
อันดับ 5 เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตราย 59.11%
4. บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้
อันดับ 1 ให้ความสำคัญกับงานบรรเทาและป้องกันสาธารณภัยมากขึ้น 69.99%
อันดับ 2 ควรมีแผนการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่พร้อมใช้งาน 68.96%
อันดับ 3 ต้องมีการจัดการมลพิษตกค้างอย่างเป็นระบบ 62.23%
อันดับ 4 ควรทำงานประสานกันทุกภาคส่วน ทั้งระดับรัฐบาลและท้องถิ่น 60.57%
อันดับ 5 เร่งแก้ปัญหาเรื่องผังเมือง 59.94%
5. ประชาชนพึงพอใจกับการแก้ปัญหาในภาพรวมมากน้อยเพียงใด
ไม่ค่อยพอใจ 39.38%
ค่อนข้างพอใจ 30.71%
ไม่พอใจ 27.13%
พอใจมาก 2.78%
*หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง (ค่าร้อยละจึงคำนวณในแต่ละข้อ)
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า เหตุการณ์ระเบิด และไฟไหม้ในภาคอุตสาหกรรมของไทยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับพบว่าการรับมือ และแก้ปัญหายังทำได้ไม่รวดเร็วนัก อีกทั้งยังเปิดให้เห็นจุดอ่อนในเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางผังเมือง ระบบการระงับป้องกันภัยที่ยังไม่ทันสมัย กฎระเบียบที่ไม่ยืดหยุ่น ทำให้การอพยพทำได้ล่าช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์โควิด-19 บทเรียนครั้งนี้จึงไม่ควรเป็นเพียงการบันทึกเรื่องราว แต่ควรนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์นี้ก็จะเหมือนไฟไหม้ฟาง เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา
ดร.พรธิดา เทพประสิทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า ประชาชนมองว่าเหตุระเบิดโรงงานกิ่งแก้วมีความรุนแรงนำไปสู่ความเสียหายอย่างมาก และไม่ค่อยพอใจกับการแก้ไขปัญหาในภาพรวม อาจเป็นเพราะว่านี่ไม่ใช่เหตุระเบิดจากสารเคมีครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งผลของการสำรวจยังสะท้อนให้เห็นว่า บทเรียนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจต้องนำไปสู่การปฏิรูปเรื่องกฎหมายผังเมือง แผนระงับภัยฉุกเฉิน การจัดทำฐานข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) เพื่อสะดวกต่อการปฏิบัติงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ช่วยลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นรวมไปถึงภาครัฐยังสามารถติดตามเรื่องสิ่งแวดล้อมและมลพิษที่เกิดขึ้นได้ และสิ่งที่สำคัญ คือ ต้องมีการให้ความรู้ การสร้างความตระหนักแก่ชุมชน ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน การพัฒนาศักยภาพบุคลากรชุดเผชิญเหตุ หน่วยผจญเพลิงให้มีความพร้อมในการรับมือด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี