โควิดระบาดหนักทั่วประเทศ
ป่วยทะลุ1.5หมืน
ตายวันเดียวพุ่งทะลัก129ศพ
ยอดติดเชื้อตจว.แนวโน้มสูง
สธ.โต้ลั่นไม่มี‘วัคซีนวีไอพี’
5แสนโดสให้หมอด่านหน้า
กลุ่มเสี่ยง-พื้นที่ระบาดหนัก
ยอดติดเชื้อโควิดทะยานไม่หยุด วันเดียวรายใหม่เพิ่ม 15,335 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 15,316 ราย รวมสะสม 497,302 คน ตายเพิ่ม 129 ศพ สะสม 4,059 รายแล้ว รักษาตัวในรพ. 91,049 อยู่รพ.สนาม 67,501 ราย อาการหนัก 4,151 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 961 ราย ยอดตายยังอยู่ในกทม.เกินครึ่ง มีหญิงท้องด้วย 1 ราย สธ.เผยพบคนติดโควิดทุกจว. ซึ่งตจว.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการกลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนา การติดเชื้อในครอบครัว ที่ทำงาน ห่วงพื้นที่ระบาดหนัก
สอบสวนโรคหาต้นตอไม่ได้ว่าติดจากไหน ย้ำไฟเซอร์5 แสนโดส
ฉีดให้บุคลากรแพทย์ด่านหน้า ไม่มีวัคซีนวีไอพี จัดสรรตามกลุ่มเสี่ยง – พื้นที่ระบาด ด้าน “อนุทิน”แจงไม่ได้รู้สึกตัวช้าที่จะเข้าร่วมโคแวกซ์ต้นปี 65 แต่ต้องการติดต่อผู้ผลิตโดยตรง เพื่อได้วัคซีนให้มากที่สุด และคุมเชื้อพันธุ์ใหม่ได้ โวสิ้นกค.ไทยหาวัคซีนได้แล้ว 27 ล้านโดส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด – 19 ระบาด ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเกิน 1.5 หมื่นราย ทำสถิติใหม่รายวัน
ติดเชื้อทะลักรายวัน15,335ตาย129
โดยวันนี้ไทยพบผู้ป่วยใหม่ 15,335 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 15,316 ราย แบ่งเป็นจากการเฝ้าระวังในระบบบริการสุขภาพ 11,759 ราย จากการตรวจค้นเชิงรุก 2,916 ราย จากเรือนจำ 614 ราย และพบการเดินทางมาจากต่างประเทศ 19 ราย รวมยอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 497,302 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 129 ราย รวมยอดเสียชีวิตสะสม 4,059 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 6,904 ราย รวมยอดผู้ป่วยรักษาหายทั้งหมด 334,693 ราย ผู้ป่วยยังรักษาตัว 158,550 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 91,049 ราย โรงพยาบาลสนาม 67,501 ราย อาการหนัก 4,151 ราย ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 961 ราย
ตายเกินครึ่งอยู่กทม.หญิงท้อง1คน
สำหรับรายละเอียดผู้เสียชีวิต 129 ราย เป็นชาย 70 หญิง 59 ราย โดยเป็นคนไทย 124 ราย เมียนมา 3 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย จีน 1 ราย ผู้เสียชีวิตอยู่ในกทม. 66 ราย สมุทรปราการ 7 ราย ปทุมธานี 6 ราย ปัตตานี 5 ราย นราธิวาส 3 ราย เป็นต้น ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง ตามด้วยเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ในจำนวนนี้พบมีหญิงตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์เสียชีวิต 1 ราย
ลาม77จว.ติดเชื้อใหม่-ตายสูงมาก
ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด19 ว่า การระบาดวันนี้ยอด 15,335 ราย มาจากต่างประเทศ 19 ราย อยู่ในกทม.และปริมณฑล 6,069 ราย ชายแดนใต้ 805 ราย จังหวัดอื่น 7,801 ราย วันนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตค่อนข้างมาก 129 ราย รวมสะสม 3,965 ราย เกินครึ่งอยู่ในกทม.และปริมณฑล ซึ่งสถานการณ์เท่าที่ดูตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงสูงเกินร้อย และตัวเลขติดเชื้อรายใหม่ก็ยังสูงมาก ภาพรวมการกระจายของผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 77 จังหวัด
ทั้งนี้ ในต่างจังหวัดพบระบาดหลายส่วน ทั้งภาคอีสาน ภาคกลาง ตะวันออก ส่วนภาคเหนือ และภาคใต้บางจังหวัดที่เพิ่มขึ้น แต่บางจังหวัดคงตัว แต่ภาคอีสานส่วนใหญ่เพิ่มในอีสานกลาง อีสานใต้ที่รับผู้เดินทางจากกรุงเทพฯและปริมณฑลไปรักษาในภูมิลำเนา และพบคลัสเตอร์ พบผู้ป่วยตามมาในครอบครัว รวมถึงสถานประกอบการ และตลาดบางจังหวัด โดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันออก
ชี้4ปัจจัยทำเชื้อกระจายเร็ว
นพ.จักรรัฐกล่าวต่อว่า ภาพรวมทุกจังหวัดมีรายงานติดเชื้อทุกจังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสานตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกก็มีรายงานติดเชื้อค่อนข้างมาก โดยองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้แพร่โรค มี 3-4 ประเด็นคือ 1.คนที่ไปจับจ่ายใช้สอย และไปอยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว 2.โรงงานหรือสถานประกอบการที่เริ่มพบผู้ติดเชื้อ และสั่งปิดโรงงาน แต่คนงานกระจายออกไปโดยไม่ทราบว่าติดเชื้อ ทำให้แพร่เชื้อ 3.ในส่วนแคมป์คนงาน หรือในชุมชน เช่น 4 จังหวัดภาคใต้ระบาดในชุมชน
สำหรับผู้เสียชีวิต 129 ราย ในกทม. 66 ราย ส่วนปริมณฑล มี สมุทรปราการ 7 ราย ปทุมธานี 6 ราย นอกนั้นมี ปัตตานี 5 ราย นราธิวาส 3 รา ยะลา 1 ราย สุราษฎร์ธานี 1 ราย ภูเก็ต 1 ราย ตาก 6 ราย กำแพงเพชร 2 ราย เชียงใหม่ เชียงราย อุตรดิตถ์อย่างละ 1 ราย สุพรรณบุรี 5 ราย สิงห์บุรี 2 ราย นครนายก 2 ราย พระนครศรีอยุธยา 2 ราย ประจวบคีรีขันธ์ 1 ราย ชลลุรี ตราด ระยอง สระแก้ว 1 ราย อุบลราชธานี 3 ราย กาฬสินธุ์ 2 ราย นครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด หนองคาย ยโสธร อำนาจเจริญ และอุดรธานีอย่างละ 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ยังพบผู้มีโรคประจำตัวหลักๆ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคอ้วน เป็นสาเหตุที่ทำให้ความรุนแรงโรคเพิ่มได้
ห่วงพื้นที่ระบาดหาต้นตอที่มาไม่ได้
“วันนี้น่าเสียใจตรงเราพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 20 สัปดาห์เสียชีวิตอีก 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงสำคัญวันนี้ต่างจากช่วง 3-4 สัปดาห์ก่อน ที่เป็นคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน แต่ตอนนี้ในพื้นที่ระบาดระบาดค่อนข้างมาก เมื่อสอบสวนหลายกรณี ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ติดเชื้อจากใคร ดังนั้น การอาศัยหรืออยู่ในพื้นที่ระบาดหนักมากๆ เช่น กทม.ปริมณฑล เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะเราไม่ทราบว่า คนใกล้ชิดเราติดเชื้อหรือยัง โดยเราพบว่าผู้เสียชีวิต 65 คน อาศัยอยู่พื้นที่ระบาดและไม่สามารถค้นได้ว่าติดเชื้อจากใคร” นพ.จักรรัฐ กล่าว
อายุ60ปีเสี่ยงสูง-จี้ลูกหลานพาฉีดวัคซีน
และว่า ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตเป็นชายมากกว่าหญิง คนไทยส่วนใหญ่ และจากการเก็บข้อมูลแต่อาจไม่ครบ 100% พบว่ามี 79 รายไม่เคยรับวัคซีน และที่เหลืออีก 40 ราย ไม่สามารถระบุได้ ต้องติดตามข้อมูลอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดในกลุ่ม 60 ปีคิดเป็น 70% เป็นกลุ่มที่เสี่ยงมาก
นพ.จักรรัฐกล่าวถึงจำนวนการได้รับวัคซีนของประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-24 กรกฎาคม ในกลุ่มต่างๆ เราจะพบในผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป ตั้งเป้าหมาย 12.5 ล้านคนต้องฉีดให้ได้ภายในปีนี้ ปรากฏว่าเราฉีดได้แค่ 2.5 ล้านคนในเข็มที่ 1 คิดเป็น 20% ส่วนเข็มที่ 2 ฉีดได้ 1.3% หรือ 1.6 แสนคน จึงต้องขอให้ลูกหลานพาไปฉีดวัคซีน รวมถึงกลุ่ม 7 โรคเรื้อรังก็ยังฉีดไม่มากในส่วนเข็มที่ 1 เช่นกัน
ย้ำตั้งการ์ดสูงสุด-ทุกคนเสี่ยงหมด
“สรุปคือ สถานการณ์วันนี้ยังติดเชื้อมาก โดยเฉพาะพื้นที่ระบาดหนัก และการกระจายของผู้ติดเชื้อไปจังหวัดอื่นๆ ทั้งโครงการกลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนา หรือกลับไปโดยไม่ทราบ ดังนั้น พื้นที่ระบาดเป็นปัจจัยสำคัญมาก เพราะเราไม่ทราบว่าใครติดเชื้อไปบ้างแล้ว เพราะ 80% ไม่มีอาการ หากไม่ได้ตรวจ หรือตรวจแล้ววันนี้เป็นลบ พรุ่งนี้อาจติดก็ได้จากการสัมผัสคนอื่น ดังนั้น ต้องเข้มมาตรการป้องกันโรคที่ยังต้องทำต่อเนื่อง ทำเสมือนคนรอบข้างติดเชื้อแล้ว เพื่อป้องกันเชื้อมาสู่ตัวเอง รวมทั้งป้องกันหากตัวเองมีเชื้อ ดังนั้น คนที่เรารู้จัก หรือไม่รู้จักเสี่ยงหมด ทั้งการออกไปซื้อของ เดินทาง มีปัจจัยเสี่ยงหมด” นพ.จักรรัฐ กล่าว
จี้ใช้บับเบิลแอนด์ซีล-แยกคนป่วย
นพ.จักรรัฐยังฝากถึงโรงงานและสถานประกอบการ ขอความร่วมมือ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าฯ แรงงานจังหวัดเร่งสื่อสาร หากโรงงานไหนยังไม่พบผู้ติดเชื้อให้เร่งศึกษาการควบคุมโรคแบบบับเบิ้ล แอนด์ซิล เตรียมพร้อมทั้งหมด ถ้าโรงงานที่พบผู้ติดเชื้อแล้ว เราเน้นไม่ปิดโรงงาน และป้องกันแพร่เชื้อไปสู่ชุมชน โดยต้องแยกกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง เช่น มีโรคประจำตัว หรือหญิงตั้งครรภ์ หรือกลุ่มเสี่ยงอื่นต้องแยกกลุ่มออกจากกัน จัดหาเตียงสนาม/ห้องแยกกัก การไม่ปิดโรงงาน เพราะมีประสบการณ์ คือ เมื่อปิดโรงงาน จะทำให้การระบาดในชุมชนตามมาทันที แต่การไม่ปิดโรงงาน สิ่งสำคัญต้องแยกผู้ติดเชื้อให้ได้ จัดระบบควบคุมกำกับ อย่างการเดินทาง หากไปเช้าเย็นกลับต้องมีระบบมั่นใจว่า จะไม่สัมผัสผู้อื่น ที่สำคัญขอให้พักในโรงงานดีที่สุด และต้องไม่กินข้าวร่วมกันในโรงงาน เพราะตรงนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงมาก
ตจว.พบติดเชื้อเพิ่มในครอบครัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยหลักหมื่นต่อเนื่อง หากควบคุมไม่ได้จำเป็นต้องใช้มาตรการอู่ฮั่น โมเดลหรือไม่ โดยคาดว่า ไทยจะอยู่กับตัวเลขรายวันกว่าหมื่นรายอีกนานเท่าไร นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ประกาศมาตรการตามสถานการณ์ เราพบผู้ป่วยหมื่นรายต่อวัน มาตรการสำคัญคือ งดเดินทางข้ามจังหวัด งดออกจากบ้านหากไม่จำเป็น และทำงานจากบ้านขั้นสูงสุด ซึ่งใกล้เคียงกับอู่ฮั่น โมเดล แล้ว หลักการตอนนี้ คาดว่าจะพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในต่างจังหวัด ทั้งในครอบครัว และที่เดินทางจากกรุงเทพฯและปริมณฑล พื้นที่ระบาดหนักเพื่อกลับไปรักษา
กทม.เริ่มคงตัว6สัปดาห์น่าจะดีขึ้น
“หากดูสถานการณ์กรุงเทพฯ จะต่างกับปริมณฑลบ้าง เช่น กรุงเทพฯตัวเลขเพิ่มไม่เยอะ รวมถึงเราฉีดวัคซีนมากพอสมควร 50% สรุปกรุงเทพฯ จะเริ่มเห็นความคงตัวมากขึ้น และเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นใน 4-6 สัปดาห์ข้างหน้า ส่วนต่างจังหวัดจะยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากต่อในระยะนี้ จึงต้องร่วมมือกันไม่ให้เราไปถึงอู่ฮั่นโมเดลที่ต้องปิดทุกอย่าง เราอยากให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเร็วที่สุด ต้องร่วมมือกันลดกระจายเชื้อ ลดการแพร่เชื้อจากครอบครัวหนึ่งไปสู่ครอบครัวหนึ่ง จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนให้มากที่สุด อยู่บ้านให้ได้มากที่สุด เพื่อคนที่เรารัก ลดการเดินทาง และซื้ออาหารอย่างระวัง สร้างความปลอดภัยให้ตัวเองตลอดเวลา” นพ.จักรรัฐ กล่าว
เพิ่มเตียงแต่บุคลากรจำกัดลดป่วยหนัก
ถามถึงปัญหาเรื่องเตียง นพ.จักรรัฐกล่าวยอมรับว่าที่ผ่านมา ขีดความสามารถในการแพทย์ของไทยไม่ได้สูงมากเหมือนประเทศฝั่งยุโรป หรืออเมริกาที่แม้จะมีเตียง บุคลากรค่อนข้างมาก แต่ช่วงระบาดที่ผ่านมาก็รับมือยากมาก ฉะนั้น การเพิ่มเตียง แต่ไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ทันในไม่กี่เดือน เมื่อเพิ่มเตียงก็ต้องกระจายบุคลากรไปทำงานในที่ต่างๆ เป็นภาระสำคัญที่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนเตียงได้มากอย่างที่หลายท่านอยากให้เกิด ดังนั้น การบริหารให้ผู้ป่วยอาการน้อย ไม่กลายเป็นอาการหนัก ต้องเข้ารพ.ในกลุ่มสีเหลืองหรือแดงที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้น้อยที่สุด เพื่อให้เหมาะสมกับขีดความสามารถที่เรามีอยู่ตอนนี้
กทม.-ปริมณฑลเตียงเต็มวอนช่วยหยุดเชื้อ
“กทม.และปริมณฑลเตียงเต็มมากแล้วจริงๆ ส่วนต่างจังหวัดก็ช่วยผ่อนเบากรุงเทพฯ ได้พอสมควร ตั้งแต่รับผู้ป่วยกลับบ้าน ช่วยได้มาก เพียงแต่การระบาดที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด อาจเป็นภาระของบุคลากรทางการแพทย์ต่างจังหวัดต่อเนื่องหลังจากนี้” นพ.จักรรัฐ กล่าวและว่า เราจึงต้องหยุดการแพร่กระจายเชื้อให้มากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องใช้เตียงและใช้เวลารักษานาน
ย้ำไฟเซอร์5แสนโดสให้แพทย์ด่านหน้า
ด้านนพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง(รก.11) นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงชี้แจงการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ว่า มีข่าวปลอมออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะระบุบุคลากรแพทย์และบุคลากรด่านหน้าจะได้วัคซีนไฟเซอร์เพียง 200,000 โดส ซึ่งความจริงบุคลากรแพทย์และบุคลากรด่านหน้าจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ไม่น้อยกว่า 500,000 โดส โดยวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสที่ได้รับบริจาคและจะเข้ามาประเทศไทยภายในเดือนกรกฎาคม และจะเริ่มฉีดต้นเดือนสิงหาคม ขอย้ำว่าบุคลากรด้านการแพทย์และบุคลากรด่านหน้าจะได้ฉีดไม่น้อยกว่า 5 แสนโดส และจะจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง และพื้นที่เสี่ยงเพื่อควบคุมการระบาด
“สำหรับการฉีดให้บุคลากรแพทย์ด่านหน้านั้น เป็นการกระตุ้นเข็ม 3 จำนวนไม่น้อยกว่า 5 แสนโดส ขณะนี้บุคลากรส่วนหนึ่งที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มก่อนหน้านี้ และล่าสุดได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ เป็นตัวกระตุ้นไปบ้างแล้ว ข้อมูลระดับภูมิคุ้มกันในกลุ่มบุคลากรแพทย์ส่วนหนึ่งที่ได้กระตุ้นเข็ม 3 ไปแล้ว กลุ่มที่ได้รับซิโนแวค กับซิโนแวค และกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าฯ พบมีระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สูงมากกว่าทุกตัวที่เห็นอยู่ ส่วนการฉีดซิโนแวคสลับมาเป็นแอสตร้าฯ และกรณีกดแอสตร้าฯกับแอสตร้าฯ หรือกรณีรับไฟเซอร์กับไฟเซอร์ ระดับภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกัน” นพ.รุ่งเรืองกล่าว
ยันไม่มีVIPฉีดกลุ่มเสี่ยงพื้นที่เสี่ยงก่อน
และว่า ขณะนี้เราเตรียมความพร้อมฉีดเพิ่มเติมอีก เห็นได้จากการเดินหน้าวัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามา 1.54 ล้านโดส เริ่มฉีดต้นเดือนสิงหาคม และไฟเซอร์ 20 ล้านโดสจะเริ่มฉีดช่วงเดินตุลาคม-ธันวาคม ขอย้ำว่า กรณีฉีดไฟเซอร์ 21.54 ล้านโดสเป็นการฉีดฟรี และเน้นฉีดกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง ดังนั้น การแอบอ้างการให้ข่าวปลอมทำให้เกิดความสับสน ปั่นป่วนขณะที่สถานการณ์กำลังวิกฤติ สธ.จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขอย้ำว่า การมีการกระจายข้อมูลว่า วัคซีนไฟเซอร์หายไป จะฉีดเพียง 2 แสนโดสไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม ส่วนวัคซีนไฟเซอร์จะให้ประชาชนฉีดได้เมื่อไหร่นั้น เมื่อมาถึงในส่วน 20 ล้านโดสจะเร่งฉีดให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และกลุ่มเสี่ยง ซึ่งคณะทำงานดูแลเรื่องนี้อยู่ และขอชี้แจงให้เข้าใจว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์จะเรียงตามลำดับ เน้นกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยงก่อน ไม่มีการฉีดให้กลุ่มพิเศษ หรือกลุ่มวีไอพีก่อนแน่นอน ถ้าพบให้แจ้งเรื่องมาที่สธ. จะตรวจสอบต่อไป
โมเดอร์นาแจงล้านโดสให้สภากาชาดฯ
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ส่งหนังสือถึงสภากาชาดไทย ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 เรื่องการแจ้งยืนยันการจองวัคซีนโควิด - 19 ของโมเดอร์นา ของสภากาชาดไทยระบุ ตามที่ได้รับการติดต่อจากสภากาชาดไทยเดือนเมษายน ขอจองวัคซีนโควิดของโมเดอร์น่า 1 ล้านโดส โดยเริ่มส่งภายในไตรมาส 4 ของปี 2564 และขอทำสัญญาซื้อขายโดยตรงกับบริษัทฯ แต่เนื่องจากบริษัทฯ ยังไม่สามารถทำสัญญาโดยตรงกับสภากาชาดไทยสำหรับวัคซีนที่จะมาถึงภายในปีนี้ จึงจำเป็นต้องซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งบริษัทฯแจ้งอภ.ให้ทราบแต่ต้นว่าวัคซีน 1 ล้านโดส ในปี 2564 นี้เป็นของสภากาชาดไทย
ยอดจองเพิ่ม5ล้านโดสส่งมอบปี65
สำหรับความต้องการสั่งจองวัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นา เพิ่มเติมจากสภากาชาดไทย 5 ล้านโดส วัคซีนนี้จะส่งมอบภายในปี 2565 จะเป็นวัคซีนที่ครอบคลุม Variants of Concern (VOC) (สายพันธุ์น่ากังวล) บริษัทแจ้งการจองปริมาณดังกล่าวไปยังผู้ผลิตแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการด้านเอกสารและพิจารณาข้อสัญญา ทั้งนี้ เป็นการสั่งซื้อตรงจากบริษัทฯ ไม่ต้องผ่านองค์การเภสัชกรรม
ซิโนฟาร์มล้านโดสถึงไทยเพิ่มเติม
วันเดียวกัน วัคซีนซิโนฟาร์ม 1 ล้านโดสที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์สั่งซื้อจากจีนมาถึงไทยแล้ว โดย
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ผ่าน 2 เที่ยวบินพิเศษขนส่งวัคซีนคือ เที่ยวบินที่ ทีจี 8669 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพฯ เดินทางจากจีน วันที่ 25 กรกฎาคม 2564 เวลา 05.41 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 09.13 น. และเที่ยวบินขนส่งสินค้า (Cargo) เที่ยวบินที่ ทีจี 675 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพฯ เดินทางจากจีน วันที่ 25 กรกฎาคม 2564 เวลา 06.48 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 10.28 น.
“อนุทิน”ชี้ข้อมูลส่งวัคซีนสื่อตรงกับสธ.
ขณธที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวเปิดเผยตัวเลขจัดส่งวัคซีนภายใต้โครงการโคแวกซ์ (COVAX) ในปี 2564 ซึ่งพบว่า ในทวีปเอเซีย ประเทศที่รับได้มากที่สุดคือ อินโดนีเซีย สะสมที่ 14.5 ล้านโดส โดยเป็นวัคซีนจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าว่า เห็นข้อมูลที่สื่อนำเสนอแล้ว ค่อนข้างตรงกันข้อมูลที่ สธ.และสถาบันวัคซีนแห่งชาติเสนอต่อประชาชน อย่างที่ตนได้รับรายงานว่า ข้อมูล จนถึงวันที่ 22 กรกฎาคม โคแวกซ์ส่งมอบวัคซีนไปแล้ว 136 ล้านโดส ใน 136 ประเทศ เฉลี่ยแล้วก็ประเทศละ 1 ล้านโดส แต่เมื่อมีข้อมูลจากสำนักข่าวออกมาล่าสุด เช่น อินโดนีเซียได้รับสูงสุดที่ 14 ล้านโดส และไปดูจำนวนของประเทศอื่นก็จะได้น้อยกว่า 1 ล้านโดสด้วยซ้ำ หรือฟิลิปปินส์ส่งมอบแล้ว 8 ล้านโดส มาเลเซีย 8 แสนโดสเท่านั้น
ไทยซื้อวัคซีนสะสมกพ.-กค.27ล้านโดส
นายอนุทินกล่าวต่อว่า หากมองในมุมประเทศไทยที่ซื้อวัคซีนตรงกับบริษัทผู้ผลิตที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน ทำให้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ไทยเรามีวัคซีนสะสมประมาณ 27 ล้านโดส แบ่งเป็น แอสตร้าฯประมาณ 12 ล้านโดส และซิโนแวคอีก 15 ล้านโดส และยังมีส่วนที่ได้รับบริจาคอีกประมาณ 3.5 ล้านโดส เป็นแอสตร้าฯ 1 ล้านโดสที่เราได้รับจากญี่ปุ่น ซิโนแวค 1 ล้านโดสจากจีน และไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสที่จะเข้ามาปลายเดือนกรกฎาคม
ไม่ได้รู้ตัวช้าย้ำซื้อตรงได้วัคซีนรุ่นใหม่
“เหตุผลต่างๆจะดูเฉพาะจุดไม่ได้ เช่น ทำไมไทยไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ตั้งแต่ต้น เพราะการที่เราต้องนำเงินไปวางเพื่อจองวัคซีน ที่ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ หรือจะได้กี่โดส ก็อาจกระทบแผนจัดหาวัคซีนหลักประเทศที่เราต้องนำเงินไปวางเพื่อสั่งซื้อเช่นกัน เราจึงต้องล็อกเป้าจัดหาวัคซีนหลักให้ประเทศด้วยการซื้อตรงกับผู้ผลิต และเราไม่ได้หวังว่าวัคซีนจากโคแวกซ์จะเป็นแผนหลักของเรา แต่ที่สำคัญคือ เราต้องดิ้นรนหาวัคซีนมาให้ได้ในปริมาณมากที่สุด เราจึงต้องติดต่อโดยตรงกับผู้ผลิตแต่ละเจ้า” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่ไทยจะเข้าร่วมโคแวกซ์ปี 2565 เนื่องจากรู้สึกตัวช้าหรือไม่ หรือตัดสินใจพลาดหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้มีข้อมูลประจักษ์แล้วว่า แม้แต่บางประเทศที่จองจำนวนมากหรือมีจำนวนประชากรมหาศาล ก็ไม่ได้แปลว่าจะได้จัดสรรวัคซีนจำนวนมาก หากไทยจองด้วยก็ไม่ได้ยืนยันว่าเราจะได้มาก อาจได้รับ 1-2 ล้านโดส แต่แผนจัดหาวัคซีนหลักของเรา หาได้ถึง 27 ล้านโดสแล้ว ทั้งนี้ วัคซีนก็ยังเป็นสินค้าที่ทุกประเทศต้องการ เราต้องอยู่กับโควิดอีกระยะ ยิ่งมีสายพันธุ์ใหม่ เราก็ยิ่งต้องติดต่อตรงกับผู้ผลิตฯ เพื่อให้ได้วัคซีนรุ่นใหม่ๆ ที่เขาจัดสรรให้เราได้โดยตรง
“เราไม่ได้รู้สึกตัวช้า เราติดต่อกับโคแวกซ์มาอย่างต่อเนื่อง มีคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้โดยเฉพาะ และทุกวันนี้เราก็ยังติดต่อระหว่างกันอยู่ ไม่ใช่ว่าผิดพลาดเพราะเราตัดสินใจไม่จองวัคซีนโคแวกซ์ และที่เราจะพิจารณาเข้าร่วมโคแวกซ์ในปีหน้า เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป เราก็วิเคราะห์ตามสถานการณ์จริง โดยการที่ผู้ผลิตได้ส่งมอบวัคซีนให้แก่ประเทศรายได้สูงที่จองไว้จนเกินพอในปีนี้ และเริ่มมีการบริจาคออกมา เราก็ดูสถานการณ์ปี 2565 วิเคราะห์แล้วว่า หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนส่งวัคซีนให้กับประเทศรายได้สูงจนเกินพอ ต่อไปก็คาดว่าจะมีวัคซีนเข้ามาในเพื่อจัดสรรให้แต่ละประเทศได้มากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว
593วัดทั่วปท.เผาศพโควิดฟรี
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนักต่อเนื่อง มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นปัจจุบันมีหลายวัดทยอยร่วมเจตนารมณ์”เผาศพโควิดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย” โดยมีวัดในกรุงเทพมหานคร 62 วัด วัด ในจังหวัดปริมณฑล 124 วัด วัดส่วนภูมิภาค 407 วัด รวม 593 วัด
นอกจากนึ้ ยังมีวัดที่มีศักยภาพ มีพื้นที่เพียงพอสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรแพทย์ โดยใช้พื้นที่วัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย และสถานที่กักตัวรอดูอาการผู้ติดเชื้อ รองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันพบวัดและสถานที่ในสังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทั่วประเทศปรับพื้นที่แล้ว 118 แห่ง พร้อมรองรับสนับสนุนงานด้านการแพทย์ อย่างไรก็ตาม พศ. ดูแลคณะสงฆ์และผู้ปฏิบัติหน้าที่เต็มที่ โดยจัดหาอุปกรณ์ป้องกันเให้วัด อาทิ ชุด PPE และอุปกรณ์ทำความสะอาด อีกทั้ง เร่งประสานขอฉีดวัคซีนให้พระสงฆ์ สัปเหร่อและผู้ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดอย่างเร่งด่วนต่อไป
ผู้ต้องขังติดเชื้อใหม่641ราย
นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยจำนวนผู้ติดเชื้อ ในเรือนจำและทัณฑ สถาน ข้อมูลประจำวันที่ 24 กรก ฎาคม พบผู้ต้องขังติดเชื้อใหม่ 641 ราย แยกเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำสีแดง 558 ราย และห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 83 ราย มีผู้ต้องขังติดเชื้อในการดูแลของ กรมราช ทัณฑ์ 6,260 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสีเขียว 84.2% สีเหลือง 15.4% และสีแดง 0.4% มีผู้ป่วยที่รักษาหายสะสมแล้ว 37,065 ราย หรือ 84.7% ของผู้ติดเชื้อสะสม 43,740 ราย ส่วนข้อมูลผู้ติดเชื้อเสียชีวิตวันนี้ มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นผู้ต้องขังชายอายุ 68 ปี รักษาตัวอยู่ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี