‘บิ๊กตู่’พอใจ
ยอดติดโควิดทั่วประเทศลดลง
สธ.เปิดแผนแซนด์บ็อกซ์รร.
เข้ม7มาตรการคุมปลอดภัย
ครม.ทุ่ม946ล.ซื้อโมเดอร์นา
ป่วยเพิ่ม11,786-ตาย136ราย
ยอดติดโควิดไทยลดลงต่อเนื่อง ตรวจพบเพิ่ม 11,786 คน ตาย 136 ศพ ฉีดวัคซีนสะสมกว่า40 ล้านโดส สธ.เผยภาพรวมป่วยลดลง ทั้งโคม่า-ใส่ท่อหายใจ แต่อย่าประมาท จับตาหลังปรับมาตรการ 1 ตุลาคม ยอดอาจกลับมาพุ่งได้ย้ำทุกคนต้องเข้มมาตรการป้องกันโควิดแบบครอบจักรวาล อธิบดีกรมอนามัยแจงยิบมาตรการSandbox
ในโรงเรียนไปกลับ เน้น 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม เข้ม 7 มาตรการ เพื่อเปิดเทอมปลอดภัย หลังนำร่องใช้ในรร.ประจำแล้วได้ผล เคร่งครัดครู- บุคลากรต้องฉีดวัคซีนมากกว่า 85% -ตรวจ ATK ประเมินความเสี่ยงเป็นระยะ –นร.ไม่เกิน 25 คน/ห้อง “นายกฯ” พอใจ สถานการณ์โควิด หลังตัวเลขลดลง ขอบคุณทุกฝ่ายช่วยคลี่คลาย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ลงนามนำเข้า“โมเดอร์นา” 8 ล้านโดสปี 65 ใช้เป็นเข็มกระตุ้น
เมื่อวันที่ 14 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวัน ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน
ติดเชื้อเพิ่ม11,786-ตาย136คน
โดยไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 11,786 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 10,345 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 1,165 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 271 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 5 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,377,679 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 14,738 ราย หายป่วยสะสม 1,235,470 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 129,025 ราย เสียชีวิต 136 ราย
ฉีดวัคซีน198วันได้40.9ล้านโดส
ศบค.ยังรายงานยอดฉีดวัคซีนทั่วประเทศ วันที่ 13 กันยายน มีรายละเอียดดังนี้ ผู้เข้ารับวัคซีนรายใหม่ 676,669 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 237,043 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 438,126 ราย เข็มที่ 3 จำนวน 1,500 ราย ส่วนยอดฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนที่คิกออฟฉีดวัคซีนทั่วประเทศ มียอดสะสมแล้ว 36,852,504 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 24,770,496 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 11,465,433 ราย เข็มที่ 3 จำนวน 616,575 ราย ขณะที่ยอดรวมการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-13 กันยายนรวม 198 วัน ใน 77 จังหวัด มียอดสะสม 40,953,025 โดส เข็มที่ 1 สะสม 27,540,743 ราย คิดเป็น 38.2% ของประชากร เข็มที่ 2 สะสม 12,795,707 ราย คิดเป็น 17.8% ของประชากร เข็มที่ 3 สะสม 616,575 ราย
เร่งฉีดให้หญิงตั้งครรภ์ด่วนที่สุด
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เฉวตรสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน แถลงข่าวคาดการณ์สถานการณ์โควิด - 19 เดือนตุลาคมและการฉีดวัคซีนในโรงเรียนว่า ผลการฉีดวัคซีนโควิดเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 676,669 โดส ซึ่งอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และเป็นช่วงที่เราจะมีวัคซีนมาอีก ทำให้การครอบคลุมวัคซีนเพิ่มขึ้น
สำหรับจำนวนการได้รับวัคซีนแยกตามกลุ่มตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์-13 กันยายน พบว่า กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านฉีดเข็มที่ 1 อยู่ที่ 687,984 คน คิดเป็น 68.8% ส่วนกลุ่มผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคฉีดไป 3,218,607 คน คิดเป็น 50.7% ประชาชนทั่วไปฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 15,884,959 คน คิดเป็น 55.5% ส่วนผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเข็มที่ 1 ฉีดไป 5,692,528 คน คิดเป็น 52.2% และหญิงตั้งครรภ์จำนวนยังน้อยฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 56,642 คน คิดเป็น 11.3% ซึ่งกำลังเร่งรัดกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ให้ฉีดสูงมากขึ้น
คนไทยรับวัคซีนอันดับ2อาเซียน
ทั้งนี้ ความครอบคลุมการได้รับวัคซีนจำแนกตามจังหวัด และได้รับวัคซีนตามเป้าหมาย ผลดำเนินการถึงวันที่ 13 กันยายน พบว่าความครอบคลุมประชากรทั้งหมดมากกว่า 50% มีกทม. ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ และยังมีฉะเชิงเทรา ชลบุรี และภูเก็ต ส่วนที่ครอบคลุมประชากร 40-49% คือ นนทบุรี ยะลา อยุธยา เพชรบุรี พังงา ระนอง
ส่วนความครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 70% มีกรุงเทพฯ ปทุมธานี ภูเก็ต และระนอง ส่วนกลุ่มที่ครอบคลุมผู้สูงอายุ 50-69% มีสมุทรสาคร สมุทรปราการ สงขลา ยะลา อยุธยา สิงห์บุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา สุราษฎร์ธานี ตรัง และพัทลุง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลฉีดวัคซีนในภูมิภาคอาเซียน ไทยเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งฉีดไป 116 ล้านโดส ไทยเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 40 ล้านโดส
ติดเชื้อลด-จับตายอดพุ่งหลัง1ตค.
นพ.เฉวตสรร ยังกล่าวถึงสถานการณ์การติดเชื้อทั่วโลกว่า ปัจจุบันติดเชื้อเฉลี่ย 5-6 แสนราย แต่วันนี้แกว่งตัวลงอยู่ที่ 397,186 ราย สะสม 225,992,281 ราย ส่วนเสียชีวิตวันนี้ 6,474 ราย เสียชีวิตสะสม 4,651,361 ราย ขณะที่ไทยวันนี้ติดเชื้อ 11,786 ราย ตัวเลขลดลงต่อเนื่อง ทำให้คลายกังวลได้ต่อเนื่อง แต่ต้องย้ำว่า การลดลงของจำนวนเหล่านี้ ในการคาดประมาณของกรมควบคุมโรคยังต้องระวัง เพราะหลังปรับมาตรการ เปิดกิจการ กิจกรรมบางส่วน ช่วงนี้ทำให้เจอผู้คน มีการสัมผัส มีโอกาสแพร่โรคแบบไม่รู้ตัว ซึ่งเดือนตุลาคมอาจมีตัวเลขผงกหัวกลับมาได้ แต่จะเกิดหรือไม่ก็อยู่ที่ความระมัดระวังของพวกเรา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ป่วยวันนี้มาจากการค้นหาเชิงรุก 10% คือ 1,165 ราย
สัญญาณดีโคมา-ใส่ท่อลดต่อเนื่อง
“เมื่อพิจารณาตัวเลขในสหรัฐ ที่มีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก แต่ประเทศเขามีการพิจารณาการนอนรพ.และการป่วยหนักควบคู่ด้วย ซึ่งไทย จำนวนปอดอักเสบที่รายงานวันนี้อยู่ที่ 4,080 ราย ซึ่งเมื่อดู 7 วันย้อนหลัง( 7-13 ก.ย.) ลดลงจาก 4,387 ราย ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ แนวโน้มเหมือนกันใส่ท่อช่วยหายใจวันนี้ 818 ราย ซึ่งลดมาจาก 7 วันที่ผ่านมา จาก 960 รายลดลงมาเรื่อยๆ ถือเป็นสัญญาณที่ดี สิ่งนี้เกิดมาจากความร่วมมือร่วมใจในเรื่องการล็อกดาวน์ เพราะทำให้ลดการสัมผัส ลดการเดินทาง พบเจอกันโดยไม่จำเป็ฯ” นพ.เฉวตสรร กล่าว
4จว.ใต้-นนท์/ปทุมกราฟยังแดง
และว่า หากพิจารณาจำนวนผู้ติดเชื้ออาการหนักหรือปอดอักเสบ แนวโน้มภาพรวมรายจังหวัดก็ลดลงเช่นกัน แต่ภาคใต้ 4 จังหวัดอาจไม่ชัดเจน ส่วนปทุมธานีก็ยังไม่เห็นการลดลงชัดเจน อยู่ในระดับ 119-130 ราย จึงเป็นพื้นที่ที่ต้องติดตาม ขณะที่การใส่ท่อช่วยหายใจภาพรวมลดลง แต่ภาคใต้ 4 จังหวัดยังไม่ปรากฏชัด อยู่ระหว่าง 43-44 ราย และนนทบุรี และปทุมธานีกราฟยังสีแดง ส่วนที่อื่นเป็นสีเขียวแล้ว
ตัวเลขตายทยอยลดภาพรวมสีเขียว
นพ.เฉวตสรรกล่าวถึงแนวโน้มการเสียชีวิต ตัวเลขวันที่ 8 กันยายน 228 ราย แต่ตัวเลขค่อยๆลดลง วันนี้(14 ก.ย.) 136 ราย ภาพรวมจังหวัดต่างๆ เป็นสีเขียว ไม่มีพื้นที่ใดอาจต้องโฟกัสเป็นพิเศษ แต่บุคลากรให้ความสำคัญทุกราย เพราะไม่ได้ต้องการให้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว ขณะที่ภาพรวมการเสียชีวิตวันนี้ 136 ราย ยังพบอายุ 60 ปีขึ้นไป 71% อายุน้อยกว่า 60 ปีอยู่ที่ 21% รวมเป็น 92% นอกนั้นไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 8% พบเป็นชาย 78 ราย หญิง 58 ราย ปัจจัยเสี่ยง มีโรคความดันสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ภาวะอ้วน ยังคงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม อยากให้ระวังหลังผ่อนคลายมาตรการเปิดกิจกรรมต่างๆ ทำให้สัมผัสเชื้อได้ เช่น รับประทานหมูกระทะ กินอาหารร่วมกัน อย่าเพิ่งวางใจเรื่องเหล่านี้ ต้องเข้มมาตรการป้องกันโรคครอบจักรวาล หรือ Universal Prevention ต่อไป
เด็ก6-18ติดโควิดสะสม1.29แสนราย
ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวมาตรการ Sandbox ในโรงเรียน : sandbox safety zone in school ว่า ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 11 กันยายน มีเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นอายุ 6-18 ปีติดเชื้อสะสม 129,165 ราย เป็นคนไทย 90% และต่างชาติ 10% เสียชีวิตสะสม 15 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว จังหวัดที่พบติดเชื้อสูงสุดคือ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้ สาเหตุเกิดจากสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน อีกส่วนเกิดจากค้นหาเชิงรุก แนวโน้มผู้ติดเชื้อในกลุ่มเด็กวัยเรียนวัยรุ่นเพิ่มขึ้น แม้ไม่เปิดให้เรียน หรือเรียนแบบผสมออนไซต์และออนไลน์ก็ยังพบติดเชื้อ ส่วนหนึ่งมาจากการติดเชื้อในครอบครัว หรือเดินทางไปสัมผัสผู้ติดเชื้อยืนยัน
ครูบุคลากรฉีดวัคซีนแล้ว8.9แสนคน
ขณะที่ข้อมูลได้วัคซีนของครูและบุคลากรการศึกษา เมื่อวันที่ 5 กันยายนพบว่า ได้รับวัคซีนทั้งเข็ม 1 และเข็ม 2 รวมกัน 897,423 ราย คิดเป็น 88.3% ยังไม่ได้รับวัคซีน 118,889 ราย คิดเป็น 11.7% ส่วนเด็กอายุ 12-18 ปีที่มีโรคประจำตัว ข้อมูลถึงวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา รับไฟเซอร์เข็ม 1 จำนวน 74,932 คน และเข็มสอง 3,241 คน คาดว่าตัวเลขปัจจุบันจะเพิ่มมากกว่านี้
นำร่องใช้แซนด์บล็อคเปิดรร.ประจำ
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยกรมอนามัยนำร่องเปิดการเรียนการสอนแบบออนไซต์ (Sandbox Safety Zone in School) ในพื้นที่โรงเรียนประจำ โดยคำนึง 3 ด้าน คือ 1.การบริหารจัดการ โดยสถานศึกษาต้องพร้อมและสมัครใจ หารือผู้ปกครองและชุมชนเห็นพ้อง ได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เตรียมสถานที่แยกกักตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดแบ่งเป็นโซน คือ โซนคัดกรอง โซนกักกันผู้สัมผัสมีความเสี่ยง และเซฟตี้โซน (สีเขียว) อยู่ภายในสุด ซึ่งนักเรียน ครู และบุคลากรที่ปลอดภัยสามารถมีกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าวได้ใกล้เคียงปกติ และต้องติดตามประเมินผล
ครู-จนท.ต้องฉีดแล้วไม่ต่ำกว่า85%
2.นักเรียน ครู และบุคลากร ของสถานศึกษาที่เข้าร่วม นักเรียนที่จะมาเรียนออนไซต์ต้องตรวจ ATK ก่อนเข้าโรงเรียน ทำกิจกรรมรูปแบบเป็นกลุ่ม Bubble and Seal แต่ละกลุ่มไม่มาสัมผัสกัน หากมีการเดินทางต้องเดินทางภายใต้การควบคุมกำกับ นักเรียน ครูและบุคลากรต้องประเมินความเสี่ยงเป็นระยะสม่ำเสมอ ด้วยแอพลิเคชันไทยเซฟไทยหรือแอปฯอื่นที่โรงเรียนดำเนินการได้ เน้นย้ำปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลเข้มข้น 6 มาตรการหลัก และ 6 มาตรการเสริม สำหรับครูและบุคลากรฉีดวัคซีนครอบคลุมไม่น้อยกว่า 85% สุ่มตรวจ ATK เป็นระยะ และ3.สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนได้ทั้งออนไซต์ ออนไลน์ หรือแบบผสม (ไฮบริด) แต่ต้องประเมินความพร้อมก่อนเปิดเรียนผ่าน Thai Stop COVID Plus หากพบผู้ติดเชื้อต้องปิดเรียน ทำตามแผนเผชิญเหตุเคร่งครัด และจัดระบบให้บริการอาหารนักเรียนตามหลักสุขาภิบาล
เล็งใช้แผนแซนบล็อคเปิดรร.ไปกลับ
“ผลดำเนินการโครงการเป็นไปอย่างดี โรงเรียนที่ดำเนินการแม้พบผู้ติดเชื้อ เป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยในส่วนโรงเรียน แต่เกิดจากการไปสัมผัสผู้ติดเชื้อนอกโรงเรียนและตรวจจับได้ จึงเป็นที่มาแนวทางที่ศธ.และสธ.หารือจัดทำ Sandbox Safety in School ในโรงเรียนไปกลับ” นพ.สุวรรณชัยกล่าว
เน้น6ม.หลัก6ม.เสริมเข้ม7ม.
และว่า แนวปฏิบัติตามมาตรการ Sandbox Safety in School ในโรงเรียนไปกลับ คำนึงถึงสถานการณ์ระบาดในพื้นที่ หากเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) ครู บุคลากรต้องฉีดวัคซีนมากกว่า 85% ประเมินความเสี่ยง 1 วันต่อสัปดาห์ ผ่านไทยเซฟไทยหรือแอปพลิเคชันต่างๆ เน้น 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม และ 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษาคือ 1.สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop COVID Plus รายงานติดตามประเมินผลผ่าน MOECOVID 2.การทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กย่อย Small Bubble ไม่ข้ามกลุ่ม 3.จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหารและโภชนาการ 4.จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและห้องเรียนให้ได้ตามมาตรฐาน เช่น การระบายอากาศในอาคาร ทำความสะอาดคุณภาพน้ำอุปโภคบริโภค และจัดการขยะ ซึ่งหลายกรณีที่ติดเชื้อในโรงเรียนเกิดจากการที่นักเรียนไปอยู่แออัดในห้องเรียน ซึ่งเป็นพื้นที่ปิด โดยเฉพาะห้องปรับอากาศ
5.โรงเรียนเตรียม School isolation กรณีพบผู้ติดเชื้อ และจัดทำแผนเผชิญเหตุร่วมสาธารณสุขในพื้นที่ และซักซ้อมหากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นในโรงเรียนจะดำเนินการอย่างไร 6. เนื่องจากเป็นการไปกลับ โรงเรียนต้องร่วมกับชุมชนและผู้ปกครอง ต้องควบคุมดูแลการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนให้มีความปลอดภัย (Seal Route) และ 7.จัด School Pass สำหรับนักเรียน ครู และบุคลากร ประกอบด้วยข้อมูลผลประเมินความเสี่ยงบุคคล ที่อาจใช้ไทยเซฟไทยหรือแอปฯ อื่น มีตรวจ ATK ในระยะ 7 วัน หรือประวัติรับวัคซีน หรือประวัติตติดเชื้อในช่วง 1-3 เดือน ตามมาตรการ สธ. และศธ.กำหนดร่วมกัน ผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือกทม.
เน้นสุ่มตรวจATK-นร.25คน/1ห้องเรียน
นพ.สุวรรณชัยกล่าวอีกว่า หากโรงเรียนอยู่พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จะเพิ่มการสุ่มเฝ้าระวังตรวจด้วย ATK 1 ครั้งภายใน 2 สัปดาห์ หากโรงเรียนอยู่พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จะเพิ่มประเมินความเสี่ยงบุคคลให้ถี่มากขึ้นเป็น 2 วันต่อสัปดาห์ หากพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) เพิ่มมาตรการอีก 3 ข้อคือ สถานประกอบกิจการกิจกรรมรอบรั้วสถานศึกษาในระยะ 10 เมตร ต้องผ่านการประเมิน Thai Stop COVID Plus และ COVID Free Setting เนื่องจากมีร้านค้า รถเร่ ร้านค้าประจำโดยรอบ จัดทำ School Pass นักเรียน ครู และบุคลากร และจัดกลุ่มนักเรียนต่อห้องไม่ให้แออัดคือไม่เกิน 25 คนต่อห้องเรียนขนาดปกติ เพิ่มตรวจ ATK 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และประเมินความเสี่ยงเป็น3 วันต่อสัปดาห์ นักเรียนเข้าถึงวัคซีนเพิ่มตามมาตรการสธ. และกรณีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ทำทั้งหมดโดยเพิ่มการตรวจ ATK เป็น 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ประเมินความเสี่ยงบุคคลทุกวัน นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ทำแผนเผชิญเหตุและซักซ้อม เตรียมพื้นที่
School Isolation ไว้รับรองด้วย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เรียนออนไลน์ตลอดไป
อย.ยังไม่อนุมัติซิโนฟาร์มในเด็ก
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า หลังบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มในประเทศไทย นำเอกสารมายื่นกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขออนุญาตขยายกลุ่มอายุใช้วัคซีนจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 18 ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดยส่งเอกสารมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน ก็จะมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญภายในและภายนอกร่วมกันพิจารณาด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพของวัคซีน โดยเมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ประชุมมีมติเรื่องความปลอดภัยในการใช้วัคซีนที่จะขยายอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เนื่องจากบริษัทไบโอจีนีเทค ส่งเอกสารข้อมูลการวิจัยใช้วัคซีนมาในเฟส 1 และเฟส 2 จึงยังสรุปเรื่องความปลอดภัยในการขยายกลุ่มอายุที่จะใช้วัคซีนซิโนฟาร์มไม่ได้
รอข้อมูลการวิจัยเฟส3เพิ่ม
“อย.ต้องการข้อมูลการวิจัยในเฟส 3 รวมถึงขนาดใช้วัคซีน เพราะการใช้ในเด็กต้องใช้ปริมาณแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่น เด็กอายุน้อย 3 ขวบ ต้องฉีดเท่าไหร่แล้วเข็ม 2 ต้องห่างกันเท่าไร เราจึงต้องขอให้บริษัทฯ ส่งเอกสารวิจัยมาเพิ่มเร็วที่สุด อย.ยังไม่อนุญาต ต้องย้ำว่ายังไม่ได้อนุญาต ไม่ใช่ ไม่อนุญาต เพราะยังต้องให้เขาส่งข้อมูลสำคัญ การวิจัยเฟส 3 มาเพิ่มเติมทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รวมถึงปริมาณการใช้วัคซีนในเด็กเล็ก”นพ.ไพศาลกล่าว
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้าโมเดอร์นา
วันเดียวกัน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศความร่วมมือเป็นทางการกับ แซดพี เทอราพิวติกส์ (ZP Therapeutics) หน่วยธุรกิจภายใต้ ซิลลิค ฟาร์มา ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพในเอเชีย ในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นา (Covid-19 Vaccine Moderna) 8 ล้านโดส (100 ไมโครกรัม/โดส) สำหรับการใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชนในปี 2565 โดยจะจัดสรรวัคซีนผ่านองค์กรนิติบุคคลประเภทต่างๆ ตามนโยบายข้อกำหนดของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คาดว่าการจัดส่งครั้งแรกจะส่งมอบได้ไตรมาสแรก ปี 2565 และจะทยอยส่งจนถึงไตรมาสที่สาม
ใช้เป็นวัคซีนทางลือกบูสเตอร์โดสปี65
ศ.นพ.นิธิกล่าวด้วยว่า วัคซีนโมเดอร์นา ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้ามาเป็นวัคซีนตัวเลือกชนิดที่ 2 โดยเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อจากการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 3 สูงถึง 94.1% อาการข้างเคียงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และส่วนมากรักษาได้ นอกจากนี้ ผลศึกษาเบื้องต้นของการใช้วัคซีนโมเดอร์นา เป็นเข็มกระตุ้น (Booster Dose ปริมาณขนาด 50 ไมโครกรัม) ต่อสายพันธุ์เบต้า แกมม่า และเดลต้า กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงถึง 32 เท่า, 43.6 เท่า และ 42.3 เท่า ตามลำดับ
คาดส่งมอบล็อคแรกปลายกพ.65
ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีแผนที่จัดสรรกระจายวัคซีนโมเดอร์นาให้กลุ่มองค์กรนิติบุคคล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสถานพยาบาล ตลอดจนกลุ่มเปราะบางที่เคยได้รับการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นกลุ่มแรกก่อน เพราะกลุ่มนี้ได้วัคซีนครบ 2 เข็มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม โดยเป็นทางเลือกอีกตัวหนึ่งที่จะใช้โมเดอร์นา เป็นเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดเพียง 1 เข็ม (ปริมาณ 50 ไมโครกรัม) ไตรมาสแรกปี 2565 จัดเป็นช่วงเหมาะสมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยจะเปิดให้องค์กรนิติบุคคลยื่นจองโมเดอร์นาเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะกำหนดราคาขาย พร้อมประกันภัยคุ้มครองผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาในราคาเดียวกันทั่วประเทศ คาดจัดส่งครั้งแรกจะส่งมอบวัคซีนได้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม 2565
นายกฯพอใจยอดติดโควิดลดทั่วปท.
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระบุในที่ประชุมว่า พอใจในการควบคุมสถานการณ์ระบาดโควิด-19 เนื่องจากพบว่าสถานการณ์ดีขึ้นต่อเนื่อง ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดจำนวนน้อยลงโดยเฉพาะในกรุงเทพฯและทั่วประเทศ ซึ่งนายกฯขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ช่วยกันทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปได้ด้วยดี
ทุ่ม946.31ล.ให้กาชาดซื้อโมเดอร์นา
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมอนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 946.31 ล้านบาทให้สภากาชาดไทย ใช้ในโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โมเดอร์นาให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 1 ล้านโดส โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งบริษัท ชิลลิค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจัดหาและกระจายวัคซีนโมเดอร์น่าในไทย ได้เสนอขายราคา 28 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 940 บาทต่อโดส รวมค่าขนส่ง 26.75 บาทต่อโดส รวมเป็น 966.75 บาทต่อโดส กำหนดให้ชำระเงินล่วงหน้าร้อยละ 30 ของมูลค่าวัคซีนรวม ภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้สามารถส่งมอบวัคซีนงวดแรกได้ต้นปี 2565
‘พิพัฒน์’ยัน1ต.ค.เปิดปท.ประเดิม5จว.
ขณะที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าแผนเปิดประเทศ โดยยืนยันว่าวันที่ 1 ตุลาคม จะเปิดให้ท่องเที่ยวใน 5 จังหวัดคือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เพชรบุรีประจวบคีรีขันธ์และจ.เชียงใหม่ ตามแผนที่เคยประกาศไว้ล่วงหน้า ส่วนจังหวัดที่เหลือเดินตามแผนให้เปิดให้ท่องเที่ยวได้ใ21จังหวัด ในวันที่ 15 ตุลาคม ขณะที่โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” จะประกาศให้ดาวน์โหลดได้วันที่ 24 กันยายน คาดว่าจะใช้เดินทางได้วันที่ 15 ตุลาคมเช่นกัน จากนั้นจะหารือกับนายกฯว่าจะเปิดให้ท่องเที่ยวในจังหวัดที่เหลือ อุปสรรคต่อแผนเปิดประเทศขณะนี้คือ ตัวเลขระบาดในประเทศ ส่วนเรื่องอื่น กระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเตรียมพร้อมไว้เกือบ 100% คาดว่า จังหวัดที่เหลือจะเปิดให้ท่องเที่ยวได้ทันกำหนด 15 ตุลาคม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี