กยท.ร่วมมือกับสถาบันวิจัยยางฯ ของจีน ลงนาม MOU พัฒนาเทคโนโลยีคิดค้นใหม่เพิ่มปริมาณน้ำยาง เทคนิคแก้ปัญหาตรวจหาเนื้อยางแห้ง เทคนิคกรีดยางถ่ายทอดให้เกษตรกรชาวสวนยาง มั่นใจช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยางของทั้ง 2 ประเทศ
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กยท.ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)กับสถาบันวิจัยยางของสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรเขตร้อนของจีน (CATAS) ภายใต้ การสนับสนุนของรัฐบาลจีนเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีคิดค้นใหม่ด้านสวนยางพารา ประกอบด้วย การติดตาด้วยต้นเล็ก การกรีดที่กระตุ้นด้วยสาร Ethlin (สารกระตุ้นที่มีประสิทธิภาพสูง) การควบคุมหน้ากรีดยางแห้ง (TPD) ด้วยสาร Sipikang(การรักษา TPD) การกรีดยางด้วยมีดกรีดแบบใช้มอเตอร์ และการตรวจหาปริมาณเนื้อยางแห้ง (DRC) ด้วยอุปกรณ์ทดสอบ DRC ที่มีความเที่ยงตรงสูง
ทั้งนี้ภายหลังการลงนาม CATAS จะได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญ ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้ในแปลงสาธิต และหลัก สูตรฝึกอบรมเกี่ยวกับแนวปฏิบัติทางการเพาะปลูกและเทคโนโลยียางให้กับเจ้าหน้าที่ของ กยท. เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ และนักวิชาการของไทย ในส่วนของ กยท.จะสนับสนุนพื้นที่ จัดหาต้นยางและแปลงสาธิตที่ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทราและศูนย์วิจัยยางหนองคาย เป็นพื้นที่รวมประมาณ 12.5 ไร่ โดยโดยมีระยะเวลาทำงานร่วมกัน 2 ปี
“ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะสมในการปลูกยางพาราคา รวมทั้งสถาบันวิจัยยางของ กยท. ก็มีจุดแข็งในด้านพันธฺุ์ยางที่ดีอีกด้วย ในขณะที่ประเทศจีนมีเทคโนโลยีที่ดีทันสมัย ดังนั้น หากมาร่วมกันพัฒนาจะได้ผลงานออกมาที่เป็นรูปธรรมแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำยางได้ในระยะการกรีดเท่าเดิม การยืดอายุการโค่นต้นยาง เทคนิคการกรีดยางด้วยมีดกรีดแบบใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่จะเข้าช่วยแก้ปัญหาเรื่องแรงงาน อีกทั้งช่วยลดปัญหาความไม่เป็นธรรมในการตรวจค่า DRC ให้เกษตรกร ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าบันทึก MOUครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยที่จะได้พัฒนาเทคโนโลยี
เกี่ยวกับยางพาราของไทย ในขณะที่ประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกยางที่สำคัญของไทย ก็จะยางที่มีคุณภาพและมีปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ นอกจากนี้ยังถือเป็นการสนับสนุนกิจกรรมวิจัยข้ามพรมแดน รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยของทั้งสองประเทศอีกด้วย” นายณกรณ์กล่าว
ผู้ว่าการ กยท.กล่าวต่อว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นของ กยท.ภายใต้สถานการณ์โลกที่มีความผันผวนตลอดเวลา นอกจากจะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีส่งเสริมประสิทธิภาพการปลูกยางแล้ว ยังมีจุดมุ่งหมายช่วยสร้างพื้นฐานความมั่นคงให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางให้เกิดการเรียนรู้จากองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน แม้สถานการณ์ต่างๆจะเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ รวมไปถึงความมั่นคงของอุตสาหกรรมการส่งออกยางของประเทศไทยในอนาคต ในด้านการให้ผลิตผลคุณภาพดีมีความสม่ำเสมอด้วย
“การลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เป็นการดำเนินงานภายใต้โครงการความร่วมมือ แม่โขง-ล้านช้าง ด้านเทคโนโลยีการปลูกยาง เพื่อการวิจัยเทคนิคการปลูกและพัฒนายางเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ต่ออุตสาหกรรมยางธรรมชาติของทั้งสองประเทศ ตรงจุดนี้นับเป็นโอกาสดีที่จะเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแบ่งปันความรู้งานวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีปลูกสวนยาง หรือกระทั่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันเพื่อการซื้อขายยางพาราจะได้เริ่มต้นขยายไปตามประเทศต่างๆ แถบลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว เมียนมาเวียดนาม และประเทศไทย ซึ่งจะสร้างประโยชน์และโอกาสเติบโตให้อุตสาหกรรมสวนยาง เกษตรกรผู้ปลูกยางทั้งรายใหญ่และรายย่อย” ผู้ว่าการ กยท.กล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี