ครม.ไฟเขียวยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน
ศบค.สิ้นสภาพ
เปลี่ยนไปใช้พ.ร.ก.โรคติดต่อแทน
ยันไม่มีนิรโทษกรรมฝ่ายบริหาร
ติดดาบคุมเหตุฉุกเฉินสาธารณสุข
‘อัศวิน’ย้ำต้องฉีดวัคซีนเกิน70%
พร้อมเปิดรร.-กรุงเทพฯแซนด์บ็อกซ์
ป่วยลดฮวบหมื่นต้นๆดับ143ศพ
โควิดไทยลดต่อเนื่องวันที่ 3 ป่วยใหม่ 10,919 คน ตาย 143 ศพ ศธ.จัดประชุมสภาผู้ปกครองฯ ชี้แจงเตรียมพร้อมฉีดวัคซีนในเด็ก 12-17 ปี จำนวน 4.5 ล้านคน ก่อนเปิดเทอม ยึดสมัครใจ ย้ำเริ่ม 4 ตุลาคม ชี้ครู-นร.ฉีดครบ 2 โดสเกิน 80% เปิดเรียนออนไซต์ได้ ผู้ปกครองเสนอตั้งศบค.รร. ร่วมจับตาระบาด สธ.ยันไฟเซอร์มีพอสำหรับเด็ก รับมีความเสี่ยงน้อย แต่ประโยชน์มากกว่า ผู้ว่าฯกทม.ย้ำเด็กทุกคนต้องได้ฉีดไฟเซอร์เท่าเทียมกัน ชี้ถ้าจะเปิดเรียนนักเรียนต้องฉีดให้ได้ 2 โดส เดินหน้าฉีดให้ได้ 70% หรือ 7 แสนคนเช่นเดียวกับเปิดกรุงเทพฯแซนด์ที่ยังยึดเงื่อนไขเดิม ปชช.ต้องได้รับวัคซีน 2 เข็มเกิน 70% ขณะที่ครม.มีมติยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ศบค.สิ้นสภาพโดยอัตโนมัติ บังคับใช้’พ.ร.ก.โรคติดต่อ’แทน
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประจำวันที่ 21 กันยายนว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 10,919 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 9,846 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 644 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 422 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 7 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,471,242 ราย หายป่วยกลับบ้าน 11,694 ราย หายป่วยสะสม 1,325,412 ราย ผู้ป่วยกำลังรักษา 131,655 ราย
ตาย143-กทม.ยังมากที่สุด40ราย
ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 143 ราย เป็นเพศชาย 82 ราย เพศหญิง 61 ราย โดยเป็นคนไทย 134 ราย เมียนมา 5 ราย ลาว 2 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย และอเมริกัน 1 ราย นอกจากนี้ พบว่ามีอายุ 60 ปีขึ้นไป 101 ราย คิดเป็น 71% อายุน้อยกว่า 60 ปี มีโรคเรื้อรัง 24 ราย คิดเป็น17% ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 18 ราย คิดเป็น13% ขณะเดียวกันพบเป็นการเสียชีวิตนอกโรงพยาบาล 4 รายคือ ที่วัด 1 ราย ใน จ.ชลบุรี 1 ราย , บ้าน 2 ราย ใน กทม.และจ.ฉะเชิงเทรา และพบเชื้อหลังเสียชีวิตที่บ้าน 1 ราย ในจ.พัทลุง โดย กทม.ยังเป็นพื้นที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุด 40 ราย
ศธ.แจงสภาฉีดวัคซีนนร.4.5ล.คน
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในการประชุมระหว่างศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.) พบสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย เพื่อชี้แจงการฉีดวัคซีนให้นักเรียน อายุ 12-17 ปีว่า ปัจจุบันมีโรงเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)เปิดเรียนแบบออนไซต์ 4,667 โรงเรียน จากทั้งหมดกว่า 29,000 โรงเรียน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการจึงเตรียมความพร้อม เปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 1 พฤศจิกายน โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนให้นักเรียนได้วันที่ 4 ตุลาคม ขณะที่ครูฉีดไปแล้วกว่า 70% และจะครบ100% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ จากข้อมูลมีนักเรียนอายุ 12-17 ปี 11 เดือน ประมาณ 4.5 ล้านคน แบ่งเป็นสังกัดสพฐ. 2.9 ล้านคน ได้สื่อสารให้โรงเรียนประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีน เพื่อประกอบการตัดสินใจยื่นความประสงค์ยินยอม หรือไม่ยินยอมให้บุตรหลานฉีดวัคซีน
นร.ครูฉีดเกิน80%เปิดตามปกติได้
นายอัมพรชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบขั้นตอนการดำเนินการว่า โรงเรียนจะรวบรวมรายชื่อที่สมัครใจแจ้งความจำนงไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ก่อนแจ้งไปที่ศึกษาธิการนจังหวัด (ศธจ.)และส่งไปสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เพื่อนำจำนวนนักเรียน ขอโควตาวัคซีน เพื่อจัดสรรต่อไป โดยจะใช้โรงเรียนเป็นฐานฉีด โดยเมื่อฉีดเข็ม 1 แล้วจะเว้น 3 สัปดาห์จึงจะฉีดเข็ม 2 หากนักเรียนและครูฉีดมากกว่า 80% ก็จะสามารถเปิดเรียนออนไซต์ได้ ส่วนการเฝ้าระวังหลังฉีดวัคซีน สพท. จะร่วมกับสธ. เผ้าระวังดูแลนักเรียนกรณีมีอาการไม่พึ่งประสงค์ อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดเรียนไม่ได้หมายความว่า เด็กทุกคนต้องมาโรงเรียน หากผู้ปกครองยังไม่มั่นใจ ก็สามารถให้ลูกเรียนออนไลน์ต่อไปได้ อีกทั้งการมาเรียนก็ไม่ได้มีรูปแบบเดียว ขึ้นอยู่กับโรงเรียนกำหนด เช่น สลับวันมาเรียน วันเว้นวัน แผนดังกล่าวเพื่อให้โรงเรียนกลับมาเรียนออนไซต์โดยเร็วที่สุด
ผู้ปกครองชงตั้งศบค.ในรร.
ด้านนายนิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองฯกล่าวว่า การเรียนออนไลน์พบว่ามีปัญหาค่อนข้างมาก เด็กไม่มีสมาธิในการเรียน ระบบอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร ทำให้การจัดการเรียนการสอนไม่เกิดคุณภาพ และจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เห็นว่า การอยู่ที่โรงเรียนปลอดภัยกว่าการเรียนอยู่บ้าน ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างเห็นด้วย และเสนอว่าโรงเรียนควรตั้ง ศบค.ในโรงเรียน เพื่อให้เป็นความร่วมมือระหว่างชุมชนกับโรงเรียน ให้เกิดเครือข่ายเข้ามาร่วมสร้างความเข้าใจ ทำให้เกิดการแก้ปัญหาร่วมกันในภาพรวม และถ้าเป็นไปได้ หากฉีดเด็ก และครูแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อยากให้สำรวจด้วยว่า ผู้ปกครองฉีดแล้วหรือยังหากยังและเป็นไปได้ควรฉีดให้ผู้ปกครองและให้แจกชุดตรวจโควิด Antigen Test Kits หรือ ATK สำหรับตรวจหาเชื้อสำหรับผู้ปกครองและเด็ก ที่สำคัญก่อนเปิดเทอมควรมีหลักสูตร ความปลอดภัยในช่วงโควิดเพื่อสร้างความเข้าใจ
แซนด์บ็อกซ์ในรร.สกัดโควิดได้ผลดี
นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า ศธ.และสธ.ร่วมมือกำหนดมาตรการป้องกันโควิดระบาดในโรงเรียน ที่เรียกว่า Sandbox Safety Zone in School โดยนำร่องในโรงเรียนประจำ ซึ่งได้ผลดี ครูในโรงเรียนได้รับวัคซีนร้อยละ 80 ขึ้นไป โรงเรียนจัดพื้นที่ปลอดภัย จัดกิจกรรมเป็นกลุ่มเล็กๆ แยกกัน มีการคัดกรองที่ได้ผล ทำให้พบผู้ติดเชื้อ และแยกกัก ส่งตัวรักษา และควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นความสำเร็จของศธ. และเป็นตัวอย่างให้สถานประกอบการประเภทอื่น นำไปใช้เป็นตัวอย่าง ส่วนการนำร่องในโรงเรียนไปกลับนั้น โรงเรียนต้องเน้นกิจกรรมลดความเสี่ยงให้มากที่สุด โดยจะประเมินร่วมกันระหว่างคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กับสถานศึกษาอีกครั้ง เพื่อให้การจัดการศึกษาปลอดภัยที่สุด
ยันไฟเซอร์มีพอฉีดให้นร.เริ่มต้นตค.
นพ.สราวุฒิกล่าวถึงการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปนั้น ขณะนี้ทั่วโลกอนุมัติให้ใช้วัคซีนชนิด mRNA และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ของไทย อนุมัติให้ฉีดได้ จะเป็นวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งจะเข้ามาในประเทศไทยและเริ่มฉีดต้นเดือนตุลาคม ยืนยันว่ามีเพียงพอที่จะฉีดให้เด็ก โดยเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปในกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัว เพราะเด็กลุ่มนี้หากติดเชื้อจะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กปกติ โดยพบว่า กลุ่มเด็ก อายุ 12-19 ปี มีอัตราติดเชื้อร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใหญ่ และเสียชีวิต ร้อยละ 0.03 แม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่ส่วนใหญ่เด็กที่เสียชีวิต จะมีโรคประจำตัวด้วย จึงจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนให้เด็กที่มีโรคประจำตัวให้ได้มากที่สุด
ชี้ซิโนฟาร์มฉีดนร.เป็นการศึกษาวิจัย
“ส่วนเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนนั้น คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข อย. และราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ เห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ในส่วนวัคซีนไฟเซอร์นั้น ทั่วโลกมีข้อมูลพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในเด็กผู้ชาย และพบในโดสที่ 2 มากกว่าโดสที่ 1 สำหรับประเทศไทยพบเพียง 1 คน เท่านั้นและมีอาการไม่มาก ขณะนี้รักษาหายเป็นปกติแล้ว ส่วนวัคซีนเชื้อตาย ได้แก่ ซิโนฟาร์ม ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นำมาฉีดให้เด็กนักเรียนนั้น เป็นขั้นตอนการศึกษาวิจัย ส่วนการนำไปฉีดในเด็กทั่วไปขณะนี้อย.ไทย ยังไม่อนุมัติ เนื่องจากยังไม่มีผลการทดลองระยะ3 ที่แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยในเด็ก ต้องรอข้อมูลส่วนนี้ ก่อน ถึงจะนำมาใช้กับเด็กทั่วไป” นพ.สราวุฒิ
รับมีความเสี่ยงน้อยประโยชน์มากกว่า
และว่า ส่วนผลระยะยาวของวัคซีน mRNA นั้น ทั่วโลกและไทย พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ดังกล่าวข้างต้น และในไทยก็พบจำนวนน้อย เพียง 1 คนและรักษาหาย ดังนั้น เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากการฉีดวัคซีนมีมากกว่าไม่รับวัคซีน เพื่อที่เด็กจะได้กลับมาเรียนในโรงเรียนได้ตามปกติ เพราะการเรียนออนไลน์อย่างเดียวส่งผลกระทบมากมาย เด็กกลุ่มเปราะบาง ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดต่างๆหลายกลุ่ม เข้าไม่ถึงการเรียนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราเชื่อว่า การที่เด็กได้แสดงออก ได้พบกัน ได้เรียน มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน จะมีส่วนสร้างเด็กไทยให้มีคุณภาพในอนาคต
เร่งฉีดครูจว.แดงเข้ม-แดง2-4แสนคน
ส่วนที่มีข้อมูลพบว่าครูในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่สีแดง ยังไม่ได้รับวัคซีน ประมาณ 2-4 แสนคนนั้น ศธ. และ สธ. กำลังประสานเพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ครูจนครบก่อนเปิดภาคเรียนเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและผู้ปกครอง ส่วนผู้ปกครองในพื้นที่สีแดงเข้มและสีแดง ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ขอให้ไปติดต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อขอรับวัคซีน ส่วนที่ผู้ปกครองสอบถามว่า เด็กอายุ 18 ปี ที่รับวัคซีนเข็มที่ 1 จากหน่วยฉีดวัคซีนอื่นๆ จะมารับวัคซีนเข็ม 2 ที่จะฉีดในโรงเรียนได้หรือไม่นั้น เด็กฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ที่จุดฉีดใด จะได้รับนัดหมายจากจุดฉีดนั้น การฉีดวัคซีนในโรงเรียน จะเป็นข้อมูลที่โรงเรียนรวบรวมและนัดหมายการฉีด เป็นคนละส่วนกัน
ฉีดไขว้แอสตร้าฯ-ไฟเซอร์ภูมิสูงสุด
ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อัพเดตผลศึกษาการฉีดวัคซีนไขว้ เทียบการฉีดด้วยวัคซีนชนิดเดียวกัน ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Siriraj Institute of Clinical Research ระบุว่า การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด 2,259.9 หน่วยต่อมิลลิลิตร การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันดีรองลงมาที่ 2,181.8 หน่วยต่อมิลลิลิตร การฉีดซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ได้ระดับภูมิคุ้มกัน 1,049.7 หน่วยต่อมิลลิลิตร การใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มแรก แล้วตามด้วยแอสตร้าฯหรือไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี การฉีดแอสตร้าฯเป็นเข็มแรกควรตามด้วยไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 อีกทั้ง ยังระบุว่า การวัดเป็นผล anti-RBD IgG วัดโดยเครื่อง Abbott และรายงานเป็นหน่วยมาตรฐาน BAU/mL ส่วนผลการวัดแบบ PRNT50 จะมีการรายงานต่อไป นอกจากนี้ ผลการศึกษายังไม่มีปัญหาเรื่องอาการข้างเคียงหลังฉีดเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สองในระยะเวลาห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ ควรศึกษาประสิทธิภาพประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อในผู้ที่ได้รับวัคซีนเพื่อยืนยันภูมิคุ้มกันจากการศึกษานี้
ราชวิทยาลัยฯวิจัยยาแอนติโควิด
ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับสมาคมวิชาชีพ และสถาบันทางการแพทย์ แถลงถึงการรับมือไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันและอนาคตว่า ขณะนี้ยังไม่มียารักษาเฉพาะ โดยใช้ยาที่รักษาไข้หวัดและโรคติดเชื้ออีโบลาคือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ราชวิทยาลัยฯ ก็ได้จัดหามาตั้งแต่ต้น แต่ปัญหาของการใช้คือ ยาเป็นเม็ดส่งผลกับเด็กและผู้มีปัญหาการกลืน เมื่อนำไปบดก็ได้ขนาดยาที่ไม่แน่นอน จึงร่วมมือกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หาตำรับยาน้ำ เป็นที่มาของยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ เป็นประโยชน์กับเด็กที่ติดเชื้อมากขึ้น แม้อาการไม่หนักแต่หากรักษาช้าก็เกิดปัญหาได้ นอกจากนี้ ในวงการแพทย์พัฒนาวัคซีนไม่หยุด พัฒนาทุกชั่วโมง ยาก็เช่นกัน อีกไม่นานก็จะออกมาใช้ได้ในภาวะฉุกเฉิน ส่วนยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) ที่มีความเฉพาะ เนื่องจากเป็นยาสังเคราะห์เข้าไปจับกับส่วนหนึ่งของไวรัส ทำให้ไม่สามารถเข้าเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้ หากใช้รักษาในระยะต้นที่เริ่มมีอาการก็จะช่วยให้คนไข้หายเร็ว อาการไม่รุนแรง ลดตายได้ และทำให้การดูแลรักษาโรคง่ายขึ้น ไม่เป็นภาระของระบบสาธารณสุขมากเกินไปนัก
“ราชวิทยาลัยฯ ก็เข้าไปช่วยหาวัคซีนทางเลือกคือ ซิโนฟาร์ม มาปิดช่องว่างวัคซีนในระยะนั้น ซึ่งเราจะเริ่มถอยแล้วว เพราะวัคซีนหลักของประเทศเข้ามาเพียงพอ ขณะเดียวกัน จะหารือในการรักษาด้วยยาชนิดหนึ่งคือ โมโนโคลนอลแอนติบอดี ซึ่งจะนำมาช่วยคนกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นโรคนี้ด้วย เรามีส่วนจัดหานำเข้าและกระจายโมโนโคลนอลแอนติบอดี เรียกว่า แอนติบอดี คอกเทล ซึ่งเป็นตัวแรกที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยจะให้ในผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการน้อยถึงปานกลางมีความเสี่ยงชีวิต ช่วยลดการเข้ารพ. และไอซียูได้ เป็นส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยโควิดและโรคอื่นๆ ได้ ราชวิทยาลัยฯดำเนินการขณะนี้คือ เป็นคนนำเข้าและกระจายยาแอนติบอดี คอกเทล ให้รพ.และเรายังร่วมกับ รพ.อีก 2-3 แห่ง ที่จะวิจัยยาแอนติไวรัสตัวใหม่ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ โดยมองว่าจะถึงเป้าเร็วกว่าคนอื่น ประเทศไทยจะเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบยานั้นด้วย” ศ.นพ.นิธิกล่าว
กทม.ฉีดไฟเซอร์เด็กกลุ่มเสี่ยง1.6พันคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำคณะไปตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่เด็กในกลุ่มโรคเรื้อรัง หรือกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดประมาณ 1,600 ราย และมีอายุระหว่าง 12-18 ปี ที่ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้ารับไฟเซอร์ โดยแบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 900 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 700 ราย ซึ่งเริ่มฉีดมาตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่เด็กที่เข้ารับบริการวัคซีนเป็นกลุ่มที่มีภาวะโรคอ้วน โรคหัวใจ และดาวน์ซินโดม และวันเดียวกันนี้ตั้งบูธให้บริการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 สำหรับประชาชนทั่วไปที่เคยลงทะเบียนไว้ประมาณ 200-300 รายด้วย ส่วนมากวันนี้เป็นผู้สูงอายุ
พล.ต.อ.อัศวินเปิดเผยว่า เด็กที่ไปรับบริการวัคซีน วันนี้เป็นเด็กเสี่ยงทั้งหมด ซึ่งเด็กทั้งหมดที่ลงทะเบียนมาไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ทั้งหมด แต่ยังรวมถึงเด็กที่เรียนโรงเรียนสังกัด สพฐ. โรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนอาชีวะต่างๆก็สามารถลงทะเบียนได้ ซึ่งกลุ่มแรกที่จะพิจารณา คือ 7 กลุ่มโรคเสี่ยงก่อนประมาณ 5,000 กว่าคน แต่กทม.จัดสรรวัคซีนมาได้แค่ 2,000 กว่าโดส ซึ่งได้ฉีดไปตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ประมาณ 700 กว่าโดส และวันนี้อีกประมาณ 1,600 โดส คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในวันนี้
ยันเด็กทุกคนต้องได้ฉีดไฟเซอร์2เข็ม
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีเด็กที่ลงทะเบียนคงเหลืออยู่อีกประมาณ 3,000 ราย คาดว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะนำไฟเซอร์เข้ามาฉีดให้เด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปี โดยเว้นระยะการฉีดเข็มที่ 2 เพียงแค่ 3-4 สัปดาห์เท่านั้น
“ไม่เพียงแต่เด็กในกรุงเทพฯเท่านั้นที่จะได้วัคซีนไฟเซอร์ แต่เป็นเด็กทุกคนที่จะได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เป็นการฉีดแบบสูตรไฟเซอร์-ไฟเซอร์ ทั้งหมดอย่างเท่าเทียม และหากฉีดวัคซีนเด็กได้ทั้งหมดจะนำเรื่องเสนอ ศบค.และอาจเปิดเรียนได้เดือนพฤศจิกายนนี้” พล.ต.อ.อัศวินกล่าว
ฉีดนร.เกิน70%ชงศบค.เปิดเรียน
และว่า ก่อนจะเปิดเรียน กทม.ต้องการฉีดวัคซีนให้ได้ครบทั้งหมด แต่เบื้องต้นได้รับการจัดสรรวัคซีนมาน้อย จึงต้องนำมาฉีดให้เด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก่อน หลังจากนั้นก็จะทยอยฉีดให้ครบ ทั้งนี้ กทม.จะฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12-18 ปีที่อยู่ใน กทม.ทุกคน ไม่เฉพาะ 7 โรคกลุ่มเสี่ยง ซึ่งมีประมาณ 1 ล้านคน หากจะมีการเปิดเรียนต้องฉีดวัคซีนให้เด็กนักเรียนครบ 2 เข็มให้ได้ 70% ขึ้นไป คือประมาณ 7 แสนคน จึงจะหารือกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ เสนอ ศบค.พิจารณาให้เปิดเรียนได้
วัคซีนพร้อมกลางตค.ฉีดกลุ่ม608
พล.ต.อ.อัศวินกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่ม 608 หรือผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคเรื้อรัง 7 โรค และคนท้อง กทม.ฉีดไปได้แล้วกว่า ร้อยละ 95 แต่ในส่วนคนอายุ 18-59 ปี กทม.ฉีดวัคซีนไปได้ทั้งหมดเกือบ ร้อยละ 40 คาดหวังว่าหากมีวัคซีนมาพร้อมจะฉีดได้เกินร้อยละ 70 ภายในกลางเดือนตุลาคม เป้าหมายจริงๆ ในส่วนของผู้ที่สมัครใจเข้ารับวัคซีน อยากฉีดให้ครบทุกคน ซึ่งได้ประสานกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้เร่งจัดสรรวัคซีนให้แล้ว
ย้ำเปิดกทม.ต้องฉีด2เข็มเกิน70%
ผู้ว่าฯกทม.ยังยืนยันเงื่อนไขการเปิดเมือง กรุงเทพมหานคร หรือกรุงเทพฯ แซนด์บ็อกซ์ว่า การที่เราจะเปิดเมืองเวลานี้ยังสุ่มเสี่ยงเกินไป และยังคงย้ำเงื่อนไขเดิมคือ ต้องฉีดวัคซีนเข็ม 2 ให้เกินร้อยละ 70 และรอดูภูมิคุ้มกันอีกประมาณ 7-14 วัน หลังฉีดครบ ซึ่งต่อมาก็จะดูอัตราติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล หากลดลงก็จะหารือระหว่างกทม.กับสธ. เพื่อนำเสนอศบค.ว่า มีเหตุผลเพียงพอที่จะเปิดกรุงเทพฯหรือไม่ โดยต้องเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างกทม.สธ.และศบค.ทั้งที่อยากจะเปิด แต่เราก็ไม่อยากเสี่ยง
“เอาง่ายๆคือ ถ้าฉีดได้ 2 เข็มมากกว่า 70% เมื่อไร ค่อยมาคุยกัน การคิดว่าจะเปิดเมื่อนั้นเมื่อนี้ ถ้าวัคซีนไม่มา ก็เปิดไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าฉีดได้มากกว่า 70% แล้วก็จะไปคุยกับสธ. และประชุมร่วมกับ ศบค.แล้วก็จะพิจารณาว่าโอเคหรือยัง แต่ตอนนี้คาดการณ์ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะฉีดครบ หรือมากกว่า70%ได้เมื่อใด”ผู้ว่าฯกทม.กล่าว
ครม.ยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน-ยุบ’ศบค.’
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้เป็นร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ศ. .... เพื่อกำหนดให้มีมาตรการที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน ระงับ ควบคุม หรือขจัดโรคติดต่อที่มีการระบาดในกรณีปกติและในกรณีที่มีความรุนแรงให้ยุติหรือบรรเทาลงโดยเร็ว และเพิ่มหมวดเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เพื่อแยกการจัดการกรณีโรคติดต่อในสถานการณ์ปกติออกจากโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่มีลักษณะของการเป็นโรคอุบัติใหม่หรือโรคติดต่ออุบัติซ้ำ ซึ่งต่อไปจะได้ไม่ต้องประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)
ในส่วนบทบัญญัติคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ร่าง พ.ร.ก.ฯ กำหนดให้ยกเว้นความรับผิดให้แก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อและเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใด ซึ่งได้รับมอบหมายหรือได้รับการร้องขอให้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ “ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข” เช่นเดียวกับในกรณีสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (ครอบคลุมไปถึง ผู้ช่วย อสม. พนักงานกู้ภัย) นับตั้งแต่วันที่ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คือ วันที่ 26 มีนาคม 2563
ยันไม่มีนิรโทษกรรมจนท.-ผู้บริหาร
น.ส.รัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในร่างฯ ไม่มีเนื้อหาส่วนใดที่พูดถึงการนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ระดับนโยบายหรือบริหารตามที่มีข้อคำถามอยู่
มีรายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบวาระสำคัญของรัฐบาลด้วยการยกร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ศ..... (พรก.คุมโรค) โดยจะไม่ขยายระยะเวลาบังคับใช้พระราชกำหนด (พรก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่จะสิ้นสุดลงวันที่ 30กันยายนนี้ ส่งผลให้เป็นการยกเลิกการประกาศบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินไปโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ การไม่ขยายเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไป และส่งผลให้ พรก.ฉุกเฉิน สิ้นสุดลง ยังทำให้ ศบค.ซึ่งตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจ พรก.ฉุกเฉิน มาตรา 7 วรรคห้า ต้องมีอันสิ้นสภาพไป โดยเพิ่มหมวดการจัดการฉุกเฉิน เพื่อไม่ต้องออก พรก.ฉุกเฉิน ทั้งนี้ ไม่มีผลให้เป็นการนิรโทษกรรมฝ่ายบริหาร แต่เป็นไปเพื่อคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี