เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงข่าวข้อเสนอแยะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีผลกระทบในสถานกาณณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดย น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า กสม.เป็นห่วงเรื่องคุณภาพชีวิตประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น แรงงานข้ามชาติ ที่มีข้อจำกัดด้านภาษา ในการเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือและควบคุมโรคที่จัดรัฐจัดให้ อาทิ การตรวจคัดกรอง
ขณะที่กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ พบการถูกเลิกจ้าง อีกทั้งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงวัคซีน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ เช่นเดียวกับกลุ่มคนไร้บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีปัญหาด้านสถานะทางทะเบียนราษฎร์ ที่มีข้อจำกัดการเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการฉีดวัคซีน ดังนั้น กสม.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้เข้าถึงวัคซีนได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ควรเร่งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติงานเฉพาะกิจในระดับพื้นที่หรือชุมชน ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนกลาง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครภาคประชาสังคมหรือผู้นำชุมชน เพื่อดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงทีและครบวงจร ตั้งแต่การค้นหาเชิงรุก ตรวจคัดกรอง แยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบกักตัวที่บ้านหรือในชุมชน (Home Isolation หรือ Community Isolation) ซึ่งต้องมีการจัดส่งอาหารและอุปกรณ์ทางการแพทย์
น.ส.ศยามล กล่าวต่อไปว่า ควรมีการบูรณาการมาตรการควบคุมโรคระบาดควบคู่กับการฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ให้เชื่อมโยงกันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการศูนย์ปฏิบัติงานเฉพาะกิจจะทำให้เกิดการบูรณาการดังกล่าวได้ ส่วนระยะยาว ควรจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฐานราก โดยเฉพาะชุมชนและกลุ่มเปราะบาง
ทั้งนี้ ในอดีตประเทศไทยก็เคยจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (SIF) รวมถึงโครงการมิยาซาวา ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก ผ่านความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคมกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ธนาคารออมสิน ซึ่งกองทุนฟื้นฟูนี้สามารถใช้เงินกู้ที่รัฐบาลกู้มาตั้งเป็นกองทุนดำเนินการเยียวยาได้อย่างรวดเร็ว
"ส่วนในกรณีที่มีคำถามเรื่องการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อยังมีค่าใช้จ่ายที่สูง ในรายงานตรวจสอบได้ให้ข้อมูลไปว่ามันมีปัญหาเรื่องงบประมาณสนับสนุน ซึ่งหมายความว่าระบบอาสาสมัครหรือระบบองค์กรประชาสังคม หรือชุมชนที่ดำเนินการไปก่อนต้องแบกรับภาระต้นทุน อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ กสม.เห็นว่า เราควรจะมีกองทุนในการช่วยเหลือเรื่องนี้โดยตรง เพื่อมีงบประมาณมาสนับสนุนและป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรวดเร็ว" น.ส.ศยามล กล่าว
ด้าน นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงข้อกังวลของประชาชนและผู้ประกอบการ กรณีมาตรการ COVID Free Setting ที่ทาง ศบค.กำหนดให้กิจการต่างๆ ต้องตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit พนักงานทุกๆ 7 - 14 วัน ตลอดจนตรวจลูกค้าที่มาใช้บริการ ซึ่งจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายอย่างมาก ว่า ที่ผ่านมาเคยมีปัญหาการเข้าถึงการตรวจคัดกรอง ดังที่มีภาพคนไปรอข้ามวันข้ามคืนที่จุดตรวจคัดกรองวัดพระศรีมหาธาตุ ย่านบางเขน กรุงเทพฯ แต่ต่อมาพบว่ารัฐบาลก็ได้แก้ไข รวมถึงจัดหาชุดตรวจ ATK จำนวน 8.3 ล้านชิ้น
"เราคิดว่าการเข้าถึงตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ สามารถธุรกิจหรือองค์กรที่จะสามารถสนับสนุนให้กับคนทำงานได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพื่อที่จะให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ว่าอย่าง SME หรือบางส่วนอาจจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่มันสูง อันนี้จริงๆ ก็ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะช่วยสนับสนุน" นายวสันต์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี