สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนจะผ่อนความรุนแรงลงมาบ้าง แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉลี่ยยังเกินกว่าหนึ่งหมื่นคนต่อวัน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดือนส.ค. 2564 แล้ว ถือว่าดีขึ้น เพราะประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อสูงสุดต่อวันถึง 23,418 คน เมื่อวันที่13 ส.ค. 2564 ซึ่งในขณะนั้นทุกคนเชื่อว่าระบบสาธารณสุขของไทยอาจจะถึงกาลล่มสลาย เพราะมีผู้ติดเชื้อสูงเกินกว่า 2 หมื่นคนต่อวัน ติดกันมานานนับสัปดาห์ ส่งผลให้สถานพยาบาลไม่สามารถรับผู้ป่วยได้อีก โรงพยาบาลสนามที่เตรียมไว้ก็ไม่เพียงพอ
ในเวลานั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความสลดหดหู่ จากข่าวและภาพของผู้เสียชีวิตอยู่ข้างถนนศพแล้วศพเล่า
โดยเฉพาะใน “พื้นที่สีแดงเข้ม” หรือพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างหนักอย่างเช่น กรุงเทพมหานคร (กทม. และปริมณฑล) ปรากฏการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น คือการที่ “ผู้คนหลั่งไหลออกจากกรุงเทพฯ กลับต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง” เนื่องจากผู้คนหวาดผวา กลัวว่า เมื่อตัวเองติดเชื้อ ล้มป่วย อาจจะไม่ได้รับการรักษา บวกกับมาตรการล็อกดาวน์ กิจการต่างๆ ถูกปิด ไม่มีงานทำไม่มีรายได้ การกลับบ้านเกิดจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“การกลับบ้านครั้งนี้แตกต่างจากการระบาดระลอกแรก ซึ่งบางพื้นที่ปิดตายไม่ให้คนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าพื้นที่ แต่คราวนี้ทุกจังหวัดอ้าแขนรับ บางพื้นที่ส่งมารับถึงที่ ไม่มีบรรยากาศหวาดกลัวและรังเกียจกันอีกต่อไป การคลี่คลายของสถานการณ์ ณ ตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่าท้องถิ่นได้เปล่งประกายศักยภาพของตัวเองให้เห็นอีกครั้งว่าสามารถรับมือกับภาวะวิกฤตได้อย่างไม่ยี่หระ เต็มประสิทธิภาพ”
อย่างที่ “เทศบาลตำบลพระแท่น” ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ทันทีที่การแพร่ระบาดเริ่มเข้ามาสู่พื้นที่ ทาง นำโดยนายกเทศมนตรี ทรงศักดิ์ โชตินิติวัฒน ได้เชิญผู้นำจาก 4 องค์กรหลักในพื้นที่ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนภาคประชาชน และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ มาตกลงร่วมกันว่าจะยึดเอา “ธรรมนูญตำบล” เป็นเครื่องมือในการควบคุม ป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่
เช่น ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยแม้จะอยู่ในบ้านที่มีคนมากว่า1 คน ร้านค้าต้องคัดกรองตามมาตรฐานสาธารณสุข หาบเร่แผงลอยต้องมีชุดแอลกอฮอล์ ใส่หน้ากากอนามัย ตลาดนัดทางเข้า-ออก ต้องมีจุดล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย ส่วนการเฝ้าระวังนั้น เทศบาล
ตำบลพระแท่นได้ตั้งทีมเฉพาะกิจ สุ่มตรวจสัปดาห์ 3 วัน เพื่อติดตามและบังคับใช้ข้อปฏิบัติในธรรมนูญตำบลที่มีข้อตกลงร่วมกัน
หากพบว่าไม่ดำเนินการ ก็จะมีการตักเตือน และมีลำดับการลงโทษไปตามขั้นตอน การปกป้องชุมชนให้พ้นภัยจากการระบาดของโควิด-19 จึงต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อตามพื้นที่ต่างจังหวัดอีก 67 จังหวัด มีสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งกับผู้ติดเชื้อในพื้นที่สีแดงเข้ม ทำให้ท้องถิ่นใช้ทุกกลไกที่มีอยู่มาดำเนินการเพื่อหยุดยั้งให้เร็วที่สุด ระดมทุกกำลังคนและสรรพกำลังมาช่วยกันดูแล
หรือจะเป็นที่ “ตำบลสถาน” อ.เชียงของ จ.เชียงราย เผชิญกับการระบาดใน 2 คลัสเตอร์ใหญ่เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 2564 ถึง 2 ครั้ง ทำให้มีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่มากกว่า 50 คน กำนันตำบลสถาน ประเสริฐ สมทะนะ เรียกประชุมผู้นำชุมชนทุกหมู่บ้าน ประธาน อสม. รพ.สต. และร่วมหารือกับเทศบาลตำบลสถาน จนมีมติให้กลุ่มเสี่ยงกักตัวในชุมชน ตั้งศูนย์บัญชาการดูแลกันตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน พร้อมกับระดมทรัพยากร ทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ เปิดรับบริจาคข้าว ปลา อาหาร เพื่อดูแลกลุ่มคนในหมู่บ้านที่กักตัว
“แม้การจัดหาที่พักหรือสถานที่กักตัวผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถดำเนินการได้โดยท้องถิ่น แต่เมื่อกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ออกประกาศเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อโควิด-19 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางในการดำเนินงานการแยกกักผู้ป่วยในชุมชน หรือCommunity Isolation ของรัฐบาลดูเหมือนจะปลดล็อกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำงานอย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการงบประมาณเหมือนที่ผ่านๆ มา เพราะท้องถิ่นทุกแห่งต่างมีความพร้อมสูง โดยเฉพาะกำลังคนในพื้นที่”
อีกจังหวัดทางภาคเหนือ “เทศบาลตำบลไชยปราการ” ต.ไชยปราการ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ แม้จะเป็นพื้นที่ห่างไกลพอสมควร แต่ก็พบผู้ติดเชื้อ
จำนวนมาก ทางเทศบาลตำบลไชยปราการจึงตั้งศูนย์แรกรับคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ จากนั้นให้กักตัว 14 วัน และมีการตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง ซึ่งนายกเทศมนตรีของที่นี่ ด.ต.ณรงค์ ทิพย์ดวง เล่าว่า ในพื้นที่มีทั้งหมด 20 หมู่บ้าน ซึ่งมีศูนย์แรกรับคัดกรองทั้งหมด โดยมอบหมายให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้อำนวยการศูนย์ มีทีมงานเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน อสม. รพ.สต. และ อปพร. ที่เทศบาลส่งไปร่วม แต่ละศูนย์จะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 5 คน เท่ากับว่าพื้นที่ไชยปราการทั้งอำเภอต้องใช้กำลังคนอย่างน้อย 100 คนในการดูแล
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “องค์การบริหารส่วนตำบลหนองย่างชิ้น” ต.หนองย่างชิ้น อ.เรณูนคร จ.นครพนม ตำบลขนาดเล็กมีประชากรประมาณ 4,000 คน เคยมีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 12 คน ช่วงที่สถานการณ์วิกฤตนั้นต้องดูแลผู้ที่กักตัวสูงสุดถึง 85 คน ต้องจัดตั้งสถานกักกันโรคท้องที่ หรือ Local Quarantine ทั้งหมด 2 แห่ง ใช้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครวันละ 12 คน แม้เป็นตำบลเล็กๆ ใช้กำลังคนไม่มาก แต่ทางท้องถิ่นต้องจ่ายค่าอาหารและเบี้ยเลี้ยง รวมถึงค่าอาหารของผู้ที่ต้องกักตัวด้วย
“จากตัวอย่างการทำงานของอปท.ในพื้นที่ต่างๆ เมื่อถอดบทเรียนการจัดการโควิด-19 ในชุมชนแล้ว ก็พอจะเห็นภาพชัดว่า แม้ระบบสาธารณสุขของประเทศจะยอดเยี่ยมเพียงใด หรือดีเลิศขนาดไหน ถ้าท้องถิ่นเพิกเฉย ไม่มีระบบจัดการ Community Isolation หรือการแยกกักผู้ป่วยในชุมชน ที่มีประสิทธิภาพ จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอาจจะไม่มีวันลดลงเหมือนเช่นวันนี้”
หลายกรณีข้างต้น รศ.ดร.ขนิษฐา นันทบุตร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ที่คลุกคลีอยู่กับ อปท.โดยเฉพาะ อปท. ในเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่ ซึ่งสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สน.3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุน มองว่า ศักยภาพของ อปท. ที่ทำให้ท้องถิ่นสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มี 3 ประเด็นใหญ่ที่สำคัญ ได้แก่
1.กำลังคน เมื่อทุกพื้นต้องมีระบบการกักตัวในชุมชน หรือ Community Isolation จึงจำเป็นต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก ทั้งการเฝ้าดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ฝ่ายจัดเตรียมเสบียงอาหาร รวมทั้งกำลังคนที่ต้องเชื่อมประสานกับครอบครัวของผู้ป่วย รวมถึงการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งงานเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุขมีกำลังคนไม่เพียงพอ แต่ท้องถิ่นสามารถระดมได้ และตอบสนองได้ทันที
2.ข้อมูล ท้องถิ่นรู้ได้ทันทีว่าใครมาจากไหนและกำลังทำอะไร เมื่อเกิดการระบาดจะสามารถค้นหาผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้ทันที ขณะเดียวกันยังช่วยประเมินตนเองได้ด้วย เช่น ขนาดของท้องถิ่นควรจะมีพื้นที่กักกันกี่แห่ง นอกจากนี้ยังว่าสามารถทำงานร่วมกับองค์กรหน่วยงานใดที่จะมาช่วยเหลือท้องถิ่นของตัวเองได้บ้าง และ 3.งบประมาณงบประมาณของท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นพอสมควร สามารถใช้ได้ทั้งงบของท้องถิ่นเอง และงบประมาณจากส่วนอื่น เช่น จากสำนักงานกองทุนหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ก็สามารถปรับแผนมาใช้ได้ด้วยเช่นกัน
“ถ้าท้องถิ่นเป็นกลไกของการขับเคลื่อนประเทศ เราก็จะรู้ว่าท้องถิ่นดูแลทั้ง 100% ของประเทศนี้ ในอนาคตถ้าท้องถิ่นทำตามบทบาทอย่างเต็มศักยภาพของตัวเอง คือการทำหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ ท้องถิ่นต้องตอบสนองทันทีต่อปัญหาทุกเรื่อง ทั้งชีวิตประจำวัน โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สุขภาพอนามัย ผลกระทบเหล่านี้ท้องถิ่นต้องรับมือได้ทันที” อาจารย์ขนิษฐา กล่าว
การทำงานเพื่อหยุดยั้งโควิด-19 ในครั้งนี้ จึงฉายภาพว่าท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นสูงมาก แต่ละพื้นที่ใช้ศักยภาพของตัวเองดูแลและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันทั้งสภาพพื้นที่สังคมและวัฒนธรรม แต่กลับยืดหยุ่น ไม่ได้ติดกับดักกฎระเบียบใดๆ และมุ่งสู่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม “ดูเหมือนว่าระดับนโยบายไม่ได้มองเห็นศักยภาพเหล่านี้เท่าใดนัก ยังคงสร้างข้อจำกัดหลายๆ ประการ” แม้กระทั่งประกาศต่างๆ ที่ส่งถึงท้องถิ่น ก็ยังคลุมเครือ อย่างคำว่า “อาจสามารถ” ก็เป็นคำที่ต้องตีความ จนทำให้ อปท. หลายแห่งไม่กล้าดำเนินการใดๆ
ธนาวุฒิ ถาวรพราหมณ์ นายกเทศมนตรีเมืองปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ให้ความเห็นว่า เมื่อคนพร้อม ท้องถิ่นพร้อม ความร่วมมือพร้อม “สิ่งที่ท้าทายคือกฎระเบียบที่ถูกสั่งการมาจากข้างบน” มีการควบคุมหลายชั้น หลายขั้นตอน และมีความซ้ำซ้อนกันอย่างมาก “สวนทางกับการกระจายอำนาจ” เสมือนว่าไม่มีใครเห็นความสำคัญของชุมชนท้องถิ่นเลย แม้ท้องถิ่นเป็นอณูเล็กที่สุดของระบบราชการไทย แต่ในขณะเดียวกัน ท้องถิ่นก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบราชการที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่นกัน
ถึงนาทีนี้ ไม่ต้องสงสัยใดๆ ว่าท้องถิ่นพร้อมแค่ไหน ถ้าให้โอกาส แล้วปลดล็อกหรือคลายปม ท้องถิ่นจะเปล่งประกายและทำงานเพื่อประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่แน่นอน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี