“ตรีนุช” “นพ.โอภาส” แถลงความพร้อมเปิดเรียน 1 พ.ย.นี้ ขณะที่ สพฐ.แจ้ง โรงเรียน 1.2 หมื่นแห่ง พร้อมเปิดเรียนแบบออนไซต์
วันที่ 28 ตุลาคม 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของ ศธ., นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลง ”ความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ของสถานศึกษาสังกัด ศธ.ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564” นี้ โดยนางสาวตรีนุช กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการออกประกาศ ศธ. เรื่อง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 34 ) เพื่อกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักเรียน ครู และประชาชนทั่วไป ว่า โรงเรียนและสถาบันการศึกษา สามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ตามแนวการเปิดภาคเรียนที่ 2/2546 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ประกาศ ศธ.ฉบับนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถานศึกษา เงื่อนไขของมาตรการ แนวปฏิบัติ แผนเผชิญเหตุ และรายละเอียดต่าง ๆระบุไว้อย่างชัดเจน โดยมีสาระสำคัญ 5 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1. เงื่อนไขหลักของมาตรการ Sandbox Safety Zone in School รองรับการเปิดภาคการศึกษาที่ 2/2564 โดยจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาแบบ on site จำแนกตามเขตพื้นที่การแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ส่วนที่ 2. เงื่อนไขข้อกำหนดของ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC), 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) และแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (ประเภทไป-กลับ) ส่วนที่ 3.หลักเกณฑ์การพิจารณาสำหรับการใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ส่วนที่ 4. มาตรการตามแผนเผชิญเหตุตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสถานศึกษา และ ส่วนที่ 5.หลักเกณฑ์การพิจารณาสำหรับการใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เพื่อการสอบ การฝึกอบรม หรือ การทำกิจกรรมใด ๆที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
“ในการเปิดเรียนแบบ on-site โรงเรียน หรือ สถานศึกษาต้องผ่านการประเมินความพร้อมผ่าน Thai Stop Covid Plus (TSC+) และรายงานการติดตามการประเมินผลผ่าน MOECOVID โดยถือปฏิบัติอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง, ครูและบุคลากร ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ตั้งแต่ร้อยละ 85 ขึ้นไป สำหรับครูและบุคลากรในพื้นที่อื่น ๆต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ตั้งแต่ร้อยละ 85 ขึ้นไป ส่วนนักเรียนไม่มีกำหนด แต่ ศธ.ได้รณรงค์ทำความเข้าใจให้นักเรียนเข้ารับการฉีดวัคซีนมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและผู้ปกครองเอง” รมว.ศธ.กล่าวและว่า
ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำรวจจำนวนโรงเรียน ว่า ในภาคเรียนที่ 2/2564 นี้จะใช้รูปแบบใด โดยพบว่ามีทั้งขอเปิดแบบ on-site 100% หรือ on-site ส่วนใหญ่ รวมกว่า 12,000 โรงเรียน มีบางแห่งขอใช้รูปแบบผสมผสาน และมีบางพื้นที่ที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ยังไม่ให้เปิดแบบ on-site ในวันที่ 1พ.ย.นี้ แต่ให้เลื่อนไปเปิดวันที่ 15 พ.ย.2564 แทน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนจะปิดเทอม 2/2564 พร้อมกันในวันที่ 1 เม.ย.2565 นี้ สำหรับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ทั้งของรัฐและเอกชน รวมทั้งสิ้น 869 แห่ง ตอบแบบสอบถามมา 832 แห่ง พบว่า ส่วนใหญ่ 531 แห่ง ขอใช้รูปแบบผสมผสานคือมีทั้ง On-site และ On-line รองลงมา 192 แห่ง ขอใช้รูปแบบ On-line 100 % และ จำนวน 109 แห่ง ขอใช้ แบบ On-site 100%
นางสาวตรีนุช กล่าวด้วยว่า ระหว่างภาคการศึกษาโรงเรียนหรือสถานศึกษา สามารถจัดการเรียนการสอน ได้ทั้งรูปแบบ On-site หรือ Online หรือ แบบผสมผสาน (Hybrid) ,นักเรียน ครู และบุคลากร ทุกคนต้องประเมิน Thai Save Thai (TST) ตามเกณฑ์จำแนกตามเขตพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดจะมีการสุ่มตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วย ATK ทั้งนักเรียน ครู และบุคลากร เพื่อเฝ้าระวัง มีการปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble ให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมข้ามกลุ่มกัน และจัดนักเรียนในห้องเรียนขนาดปกติ ไม่เกิน 25 คน หรือ จัดให้เว้นระยะห่างระหว่างนักเรียนในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ตลอดจนมีสถานที่แยกกักตัวในโรงเรียน หรือ พื้นที่แยกกักชั่วคราว รวมไปถึงมีแผนเผชิญเหตุสำหรับรองรับการดูแลรักษาเบื้องต้นกรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากรในสถานศึกษากรณีมีการติดเชื้อโควิด-19 หรือ ผลตรวจคัดกรองหาเชื้อเป็นบวก โดยมีการซักซ้อมอย่างเคร่งครัด และ ควบคุมดูแลการเดินทางกรณีมีการเข้าและออกสถานศึกษาอย่างเข้มข้น โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสในพื้นที่ต่าง ๆตลอดเส้นทางการเดินทาง ทั้งนี้ มาตรการและแนวทางต่าง ๆจะปรับตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ขึ้นกับคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัด หรือ คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครกำหนด
ทั้งนี้ สำหรับ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) ประกอบด้วย 1.Distancing เว้นระยะห่าง 2. Mask wearing สวมหน้ากาก 3. Hand washing ล้างมือ 4. Testing คัดกรองวัดไข้ 5. Reducing ลดการแออัด และ 6.Cleaning ทำความสะอาด ส่วน 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) อย่างเข้มข้น คือ 1. Self-care ดูแลตนเอง 2. Spoon ใช้ช้อนกลางส่วนตัว 3. Eating กินอาหารปรุงสุกใหม่ 4. Track ลงทะเบียนเข้าออกโรงเรียน 5. Check สำรวจตรวจสอบ และ 6.Quarantine กักกันตัวเอง
“ประเทศไทยของเราได้เผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) และได้เรียนรู้มาตลอดระยะเวลากว่า 18 เดือน ศธ.เองมีความตระหนักและมีความห่วงใยเด็กเยาวชนจึงมีขบวนการจัดการเรียนการสอนในท่ามกลางสถานการณ์โควิดเพื่อไม่ให้เยาวชนขาดโอกาสในการเรียนรู้ จึงได้สร้างขบวนการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่นใน 5 รูปบบ คือ On Site การเรียนที่โรงเรียน, On Air เรียนผ่านระบบมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ DLTV, On Line ครูสอนผ่านระบบอิเลคทรอนิค, On Demand เรียนผ่านระบบแอปพลิเคชั่น และ On Hand เรียนผ่านเอกสารใบงานอยู่ที่บ้าน ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ค้นพบว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการที่เด็กได้กลับมาสู้ห้องเรียนเพื่อเด็กได้มีการเรียนรู้ในทุก ๆด้าน มีปฏิสัมพันธ์กับครูและเพื่อน ๆ ส่วนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ช่วยให้เด็กเรียนรู้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนนี้ศธ.ตระหนักดี และรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใย จึงได้เร่งรัดเรื่องการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีนที่กรมอนามัยโลก(WHO)รับรองนำมาฉีดให้กับนักเรียนที่อายุ 12-18 ปี ซึ่งศธ.มีนักเรียนในสังกัดอยู่จำนวนกว่า 5 ล้านคน ผู้ปกครองแสดงความประสงฆ์ให้นักเรียนฉีดวัคซีน 3.8 ล้านคน โดยศธ.ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุขนำวัคซีนไปฉีดให้นักเรียนทั่วประเทศแล้วตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้นักเรียน 3.8 ล้านคน ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2.5 ล้านคน” รมว.ศธ. กล่าวและว่า
นอกจากนี้ ศธ.และนายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดการฉีดวัคซีนครูให้ได้มากที่สุด ซึ่งครูมีจำนวนกว่า 5 แสนคน ขณะนี้ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 85% ส่วนที่ยังไม่ได้ฉีดอีก 15% หรือแสนกว่าคน ก็ได้มอบหมายให้ปลัดศธ. ไปดำเนินการให้ข้อมูลและเร่งรัดให้ได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบ เพื่อให้มีภูมิป้องกัน ดังนั้น ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ โรงเรียนทั่วประเทศจะทยอยเปิดเรียนพร้อมกัน แต่อยู่ที่สภาพพื้นที่ของโรงเรียนที่มีทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล สภาพขนาดของโรงเรียน และสภาสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้น การปฏิบัติตามมาตรการของทางกระทรวงสาธารณสุขมีความจำเป็นมาก ซึ่งวัคซีนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ส่ิงที่สำคัญคือมาตรการในการป้องกัน
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดศธ. กล่าวว่า จากข้อมูลวันที่ 26 ตุลาคม การฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัด ศธ. มีดังนั้น ฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 782,010 ราย แบ่งเป็น ครู 576,748 ราย บุคลากร 205,262 ราย ฉีดเข็มที่ 2 จำนวน 522,133 ราย แบ่งเป็น ครู 363,749 ราย บุคลากร 158,384 ราย ยังไม่ได้รับวัคซีน 112,377 ราย แบ่งเป็น ครู 88,735 ราย บุคลากร 23,642 ราย ส่วนภาพรวมจำนวนนักเรียนที่ฉีดวัคซีน จากข้อมูลวันที่ 27 ตุลาคม มีดังนี้ นักเรียนประสงค์ฉีดวัคซีน 3,817,727 ราย ฉีดวัคซีนแล้ว 2,544,267 ราย คิดเป็น 66.64%
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้จะไม่มีประโยน์เลยถ้าเปิดประเทศให้นักท่องเทียว นักธุรกิจ และให้คนไทยเดินทางไปมาได้ โดยที่เราไม่เปิดโรงเรียน เพราะโรงเรียนเป็นหัวใจสำคัญของประเทศไทย เด็กนักเรียน ครอบครัว ชุมชนจะต้องมีความปลอดภัย ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถเปิดโรงเรียนได้จะเป็นสัญลักสำคัญยิ่งกว่าการเปิดประเทศ
“เปิดเรียนมีการติดเชื้อแน่ ๆ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยระบาดไปชุมชน และติดแล้วสามารถควบคุมได้ และเด็กถ้าติดจะไม่รุนแรง และในปี 2565 รัฐบาลสั่งวัคซีนแสตร้าไว้แล้ว 60 ล้านโดส สาวนที่มีคำถามว่า ถ้าเปิดโรงเรียน เปิดประเทศ ความเสี่ยงจะมีไหม การจะให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นสูญ ก็คงต้องปิดทุกอย่าง เพื่อลดจำนวนผู้คนติดเชื้อให้ได้มากที่สุด แต่ถามว่าปิดทุกอย่างแล้วคุ้มไหม ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกคิดเหมือนกันคือไม่คุ้ม สังเหตุได้ว่าหลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศนโยบายเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. ก็มีหลายประเทศในอาเซียนและยุโรปประกาศเปิดประเทศตามไทยแล้ว แสดงว่านานาชาติประเทศทั่วโลก เห็นพร้องต้องกัน ว่าในระยะต่อไปเราจะต้องอยู่กับเชื้อโควิด-19ให้ได้ เพราะเราคงไม่สามารถกำจัดโรคนี้ให้หมดไปทั่วโลคได้ เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร ให้เราอยู่กับเชื้อโควิด-19 ให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรให้เด็ก ๆของเรามีความรู้มีความสามารถในการป้องกันตัว ซึ่งจากวีดิทัศน์ที่ศธ.จัดมานำเสนอดีมาก สามารถนำไปเป็นตัวอย่างให้กับนานาชาติใช้ได้
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า วัคซีนเป็นกลไกที่ทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่กับเชื้อโควิด-19 และเป็นที่ยอมรับว่าวัคซีนดีมีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยหนักและการเสียชีวิตได้ดีมาก ซึ่งจากข้อมูลผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เพราะฉะนั้น นักเรียนถ้าได้ฉีดวัคซีนถึงแม้จะได้รับเชื้อโอกาสที่จะป่วยหนักหรือเสียชีวิตมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย และลดการติดเชื้อได้ และที่สำคัญถ้ามีการระบาดเกิดขึ้น มาตการที่ ศธ.ได้ดำเนินการร่วมกับ สธ.จะสามารถลดการระบาดในชุมชนได้ เพราะเด็กที่ฉีกแล้วเขาจะบอกพ่อแม่ผู้ปกครองให้ฉีดวัคซีน เพราะมีประโยชน์อย่างมาก จึงขอให้ผู้ปกครองมั่นใจในการเตรียมการของศธ.และสธ.ซึ่งขณะนี้ สธ.ได้กระจ่ายจัดสงวัคซีนจำนวน 6 ล้านโดส ลงไปในพื้นที่ทั่วประเทศแล้วเพื่อระดมฉีดให้กับนักเรียนที่สมัครใจฉีด ซึ่งขณะนี้พบว่าเด็กทยอยขอฉีดเพิ่มขึ้นเลื่อยๆ ส่วนที่มีผู้ปกครองกังวลใจเรื่องผลข้างเคียงโดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสพนั้น ขอชี้แจ้งว่า สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เกิดน้อยและหายได้ และจากข้อมูลใหม่ เด็กที่ติดเชื้อดูภายนอกเหมือนไม่มีอาการ แต่อวัยวะภายในมีการอักเสพและจะส่งผลระยะยาว ดังนั้น ทางกุมารแพทย์เห็นพร้องกันว่าควรสนับสนุนให้เด็กได้ฉีดวัคซีนทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย และหลังฉีดภายใน 7 วันไม่ควรออกกำลังกาย
นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ศธ.และ สธ.ก็ได้ความร่วมมือกันเพื่อให้นักเรียนสามารถไปเรียนได้ ส่วนพื้นที่สีแดง และสีแดงเข้ม ส่วนใหญ่จะไม่ให้เปิดโรงเรียน และมีมาตรการแซนด์บ็อกซ์ ใน 86 โรงเรียน โดยมี 6 มาตรการหลัก และ 7 มาตรการเข้ม สำหรับสถานศึกษา โดยในโรงเรียนต้องจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม และโรงเรียนต้องประเมินตนเองผ่าน TSC+ ดังนั้น โรงเรียนที่จะเปิดเรียนในวันที่ 1 พ.ย.จะต้องประเมินตนเองผ่านแพทฟอร์มนี้ และมีคณะกรรมการที่มากจาก ศธ. สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมกกำกับติดตามและเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด รวมถึงมีมาตรการเตรียมความพร้อมในโรงเรียน ซึ่งนอกจากครูและนักเรียรได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว บุคลากรภายในโรงเรียน เช่น แม่ครัว แม่บ้าน จะต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มข้นด้วย และจัดให้มีพื้นที่เซฟตี้โซนในโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนไปเรียนในโรงเรียนได้ และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครองและนักเรียน
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ.มีโรงเรียนในการดูแลกว่า 3 หมื่นโรง มีนักเรียนกว่า 5 ล้านคน ขณะนี้ สพฐ.ใช้โรงเรียนเป็นฐานประเมินสถานการณ์ เพื่อทำให้โรงเรียนมีความปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้าน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพ่อ แม่ผู้ปกครอง ที่ผ่านมา ได้มุ่งเตรียมความพร้อมของโรงเรียน ของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ในนการฉีดวัคซีนซึ่งผู้ปกครองและนักเรียนได้ให้ความร่วมมืออย่างดีเพื่อให้เปิดภาคเรียนได้ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีจำนวนโรงเรียนฉีดวัคซีนแล้วถึง 90% ดังนั้นในวันที่ 1 พ.ย.นี้ โรงเรียนจะเปิดเรียนพร้อมกันทั้งหมดทั่วประเทศ แต่โรงเรียนใดจะเปิดแบบออนไซต์ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับโรงเรียนได้ประเมินตนเองผ่าน Thai Stop Covid Plus (TSC+)44 ข้อ และจะไม่บังคับนักเรียนมาเรียนที่โรงเรียนหากยังไม่ประสงค์จะมเรียนที่โรงเรียน
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีโรงเรียนเสนอผ่านการประเมินตนเองแล้ว ซึ่งอยู่ในพื้นที่แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่สีส้ม จะไม่คำนึงว่าฉีดวัคซีนแล้วจำนวนเท่าใด แต่จะนำข้อมูลที่ฉีดแล้วกี่คน และผลการประเมินเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ส่วนโรงเรียนในพื้นที่สีแดง และสีแดงเข้ม จะมีมาตรการเรื่องการฉีดวัคซีนครูเข้ามาเกี่ยวข้องในการเสนอ ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 27 ต.ค.มีโรงเรียนเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดมีประมาณ 80% แต่ได้รับการอนุมัติให้เปิดเรียนแบบออนไซน์ในวันที่ 1 พ.ย. ประมาณ 12,000 โรง และมี จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี และ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ทางผู้ว่าฯ ประกาศเองว่าจะเปิดเรียนแบบออนไซน์ทั้งจังหวัด ในวันที่ 15 พ.ย.2564 รวมถึงมีอีกหลายจังหวัดที่ประกาศเปิดเรียนแบบออนไซต์เป้นรายโรงและเฉพาะรายพื้นที่
“สพฐ.ปรารถนาที่จะให้โรงเรียนเปิดเรียนแบบออนไซต์ให้ได้มากที่สุด จึงได้มีข้อปฏิบัติให้โรงเรียนขนาดใหญ่ ที่มีนักเรียนต่อห้องเกิน 25 คน เลือกสลับชั้นมาเรียน หรือสลับเลขคลี่ เลขคู่มาเรียนได้ และเรียนห้องละไม่เกิน 25 คน ให้ยือหยุ่นตารางเรียน และบดกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงลง รวมถึงให้เว้นระยะห่าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัย โดยมอบให้โรงเรียนและผู้ปกครองดำเนินการร่วมกันตั้งแต่เด็กออกจากบ้านและวัดอุณภูมินักเรียนก่อนเข้าภายในโรงเรียน ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่อห้องไม่ถึง 25 คน ก็สามารถเปิดได้เต็มรูปแบบ สพฐ.ยืนยันว่าจะดูแลลูกหลานของท่านที่มาเรียนออนไซต์ให้ปลอดภัยที่สุด และสพฐ.ได้มีหนังสือขอความร่วมมือไปยังกระทรวงคมนาคม ในการฉีกลดวัคซีนคนขับรถสาธารณ และให้มีการฉีดยาฆ่าเชื้อภายในรถด้วย และเพื่อเติมความมั่นใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองว่าเราจะปรับโรงเรียนให้เป็นบ้านที่อบอุ่นและปรับคุณครูให้เป็นพ่อแม่ที่ดูแลลูกหลานของท่านอย่างดีที่สุด” นายอัมพร กล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) มีสถานศึกษาในสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชน รวม 874 แห่ง มีขบวนการจัดการศึกษาที่เน้นสมรรถนะ ทักษะฝีมือตามกรอบวิชาชีพ ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนแบบออนไซต์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ในการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 นี้ ซึ่งสถานศึกษาต้องผ่านการประเมิน TSC+ ขณะนี้ผ่านการประเมินทุกแห่งแล้ว ในส่วนของครูอาชีวะ ก็ผ่านการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 90% ที่ยังไม่ได้ฉีดเนื่องจากมีปัญหาโรคประจำตัว ส่วนนักเรียน นักศึกษาอาชีวะทั้งระดับปวช.และ ปวส.แม้อายุเกิน 18 ปี ทางกระทรวงสาธารณสุข ก็ฉีดวัคซีนให้ทุกคน ซึ่งจะทำให้นักเรียน นักศึกษาเรียบแบบออนไซต์ได้อย่างไม่กังวลการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง ส่วนนักเรียนในระบบทวิภาคี สอศ.ได้ประสานกับสถานประกอบการที่จะรับนักเรียนเข้าไปฝึก ให้มีมาตรการป้องกัน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีบางแห่งจัดวัคซีนให้นักเรียนที่ไปฝึกปฏิบัติด้วย
“สอศ.ต้องจัดการศึกษาแบบออนไซต์เป็นสำคัญ นอกเหนือจากที่สถานศึกษาได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว แต่ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดด้วย สอศ.จึงได้จัดรูปแบบการจัดการศึกษาไว้ 3 กลุ่ม คือ 1.แบบออนไซต์ 100% 2.แบบออนไลน์เฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด 3.แบบผสมผสาน เนื่องจากบางพื้นที่จัดออนไซต์ได้ แต่มีจำนวน นศ.มาก 5 -7 พันคน จึงให้จัดแบบผสมผสาน และให้มีการแบ่งกลุ่ม หรือสลับกันมาเรียนห้องละไม่เกิน 20 คน หรือจัดการเรียนแบบบล็อคครอสให้จบภายในวิชานั้นๆ ส่วนการเรียนแบบออนไลน์ในพื้นที่สีแดง และสีแดงเข้ม หรือกลุ่มที่สลับกันมาเรียน นอกจากนี้ให้มีแผนเผชิญเหตุ ในสถานศึกษา กรณีมีการติดเชื้อเกิดขึ้น และมีแผนเผชิญเหตุในสถานประกอบการ หากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบการ ก็ให้ปรับการเรียนในจากระบบทวิภาคี มาเป็นระบบปกติ หรือจัดหาที่เรียนที่ฝึกงานให้นักศึกษาที่ปลอดภัย และมีแผนการเรียนเฉพาะบุคคล กรณีที่ติดเชื้อโควิด-19 หรือถูกกักตัว 14 จะมีแผนการเรียนให้ เพื่อไม่ให้นักเรียน นักศึกษาตกหล่อนในการเรียน ให้สามารถสำเร็จการศึกษาได้ตามกำหนดเวลา” นายสุเทพ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี