ศบค.เร่งตามตัวชาวแอฟริกาในไทย
กลุ่มเสียง252คน
จับตรวจRT-PCRหาเชื้อโอไมครอน
โควิดยังระบาดลามหลายจังหวัด
คลัสเตอร์ผับบาร์โผล่‘อุบล-อุดร’
เร่ง27จว.ฉีดวัคซีนให้ทะลุ70%
ติดเชื้อรายวัน4,886-ตาย43ศพ
ศบค.แถลงยอดติดเชื้อโควิดรายวันลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 4,886 ราย ตาย 43 ศพ กทม.- 5 จว.ใต้ ยังติด 10 อันดับติดเชื้อสูงสุดในประเทศ ยอดฉีดวัคซีนสะสม 93.6 ล้านโดส ย้ำ 5 ธันวาคม ครบ 100 ล้านโดสแน่ เร่ง 27 จว.ฉีดวัคซีนให้ได้ 70%เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ คลัสเตอร์ใหม่โผล่หลายจังหวัด น่าห่วงเป็นคลัสเตอร์สถานบันเทิงที่อุบลฯ-อุดรฯ ด้านสธ.ติดตามอาการโอไมครอนพบเบื้องต้นแพร่มาก-เร็ว สั่งตามตัวนักท่องที่ยวจาก8 ประเทศแอฟริกา 252 คน ที่เข้าไทยแล้วมาตรวจ RT-PCR หาเชื้อโอไมครอน -กักตัวให้ครบ 14 วัน
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงของไทย รวมถึงความคืบหน้าการดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน
ติดเชื้อใหม่4,886/หายป่วยเพิ่ม6,326
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่ 4,886 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 4,715 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 4,566 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 149 ราย มาจากเรือนจำ 165 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 6 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,120,758 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 6,326 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,025,754 ราย อยู่ระหว่างรักษา 74,190 ราย อาการหนัก 1,351 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 340 ราย
ตาย43-เมืองคอนมากสุด5ราย
เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 43 ราย เป็นชาย 25 ราย หญิง 18 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่อายุ 60 ปีขึ้นไป 34 ราย มีโรคเรื้อรัง 6 ราย เด็กชายอายุ 5 เดือน เสียชีวิต 1 ราย ที่จ.สงขลา เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด พบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช 5 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 20,814 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 263,035,743 ราย เสียชีวิตสะสม 5,233,046 ราย
คลัสเตอร์สถานบันเทิงโผล่อุบล-อุดร
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 1 ธันวาคม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) 794 ราย สงขลา 270 ราย สุราษฎร์ธานี 240 ราย นครศรีธรรมราช 204 ราย ชลบุรี 198 ราย เชียงใหม่ 171 ราย สมุทรปราการ 140 ราย ปัตตานี 119 ราย ประจวบคีรีขันธ์ 117 ราย ชุมพร 100 ราย ทั้งนี้ ยังพบคลัสเตอร์ใหม่หลายแห่ง ได้แก่ คลัสเตอร์โรงงาน สถานประกอบ พบที่ จ.ปราจีนบุรี สระบุรี ลพบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี คลัสเตอร์ตลาด พบที่ จ.ขอนแก่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ คลัสเตอร์แคมป์คนงานที่ จ.ระยอง สุรินทร์ สระแก้ว ขอนแก่น คลัสเตอร์สถานศึกษา พบที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ สระแก้ว เชียงใหม่ เลย อุบลราชธานี คลัสเตอร์ค่ายทหาร พบที่ จ.ชลบุรี คลัสเตอร์ร้านอาหาร พบที่ จ.อุบลราชธานี คลัสเตอร์สถานบันเทิง พบที่ จ.อุบลราชธานี อุดรธานี
ไทยฉีดวัคซีนแล้ว93.5ล้านโดส
ส่วนจำนวนผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนฉีดวัคซีนเพิ่มเติม 566,398 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ทั้งหมด 93,536,449 โดส โดยเป้าหมายจะฉีดให้ได้ 100 ล้านโดสภายในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์แห่งการฉีดวัคซีน ถ้าไปดูตัวเลขการฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งสำหรับประชากรตามสิทธิรักษาพยาบาล ฉีดไปแล้ว 72.22% แต่หากคิดตามประชากรตามทะเบียนราษฎร์และประชากรแฝง ฉีดไปแล้ว 67.24% ถ้าดูรายจังหวัดจะพบว่ามี 1 จังหวัดที่ยังฉีดเข็มที่หนึ่งไม่ถึง 50% ของประชากร คือ จ.แม่ฮ่องสอน ที่ฉีดไปเพียง 45.92%
27จว.เร่งฉีดให้ถึง70%สร้างภูมิหมู่
ทั้งนี้ มีถึง 27 จังหวัด ที่ยังฉีดไม่ถึง 60% ของประชากรได้แก่ ขอนแก่น แพร่ อุบลราชธานี ชัยภูมิ สิงห์บุรี สระแก้ว สตูล ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครนายก ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร กาฬสินธุ์ กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี ตาก ราชบุรี นครพนม หนองบัวลำภู ลพบุรี ปัตตานี บึงกาฬ สกลนคร และนราธิวาส จึงขอความร่วมมือประชาชนในจังหวัดเหล่านี้ ให้ไปฉีดวัคซีน เพราะถ้าต่ำกว่า 70% จะไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และขณะนี้มีเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนกำลังเข้ามา อย่างน้อยการฉีดวัคซีนช่วยลดอาการรุนแรงของโรคได้
นทท.เข้าไทย1.3แสนติดเชื้อ171คน
นพ.ทวีศิลป์ยังแถลงผลดำเนินงานการรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1-30 พฤศจิกายน โดยผู้เดินทางแบบ Test&Go , Sandbox และ Quarantine รวมเดินทางเข้ามาทั้งหมด 133,061 ราย พบติดเชื้อ อยู่ 171 ราย ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะอยู่ใน Test&Go ถ้าเทียบเปอร์เซ็นแล้ว คนที่มาเที่ยวใน Test&Go มีมากเป็นแสนกว่าคน แต่ติดเชื้อแค่ 83 คิดเป็น 0.08 % ส่วน Sandbox ติดเชื้อ 0.21 % และ Quarantine ติดเชื้ออยู่ที่ 0.81 % รวมแล้ว 171 รายคิดเป็นเปอร์เซ็นเท่ากับ 0.13 % เท่านั้น เพราะฉะนั้นคุ้มค่ามากที่เราจะให้มาตรการนี้คงต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนเกิดขึ้น ก็ต้องมีมาตรการที่เน้นย้ำ จากที่ผ่อนคลายให้ใช้การตรวจโดย ATK ต้องกลับไปตรวจแบบ RT-PCR ซึ่งใช้มาตรฐานสูงที่สุดเท่าที่เราจะควบคุมโรคได้
สำหรับประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา 14,730 คน เยอรมนี 12,099 คน เนธอร์แลนด์ 8,478 คน สหราชอาณาจักร 6,701 คน รัสเซีย 5,307 คน ญี่ปุ่น 5,146 คน ฝรั่งเศส 5,003 คน และเกาหลีใต้ 4,741 คน ซึ่งเราต้องมาให้ความสำคัญของแต่ละประเทศที่เข้ามา เพราะสายพันธุ์โอมีครอน เข้ามาทางแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศเหล่านี้ที่เข้ามาในประเทศไทย แม้ยังไม่มีรายงานว่ามีคนที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้แต่เราก็ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจหาเชื้อจากทุกประเทศที่เข้ามา
แพร่เชื้อมาก-เร็วกว่า‘เดลตา’
นพ.ทวีศิลป์กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมอีโอซี กระทรวงสาธารณสุข วันเดียวกัน มีรายงานลักษณะของเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอน ข้อมูลเบื้องต้น อาการส่วนใหญ่ยังไม่แตกต่างจากเชื้อที่เคยมีอยู่ ทั้งอาการปวดเมื่อย แต่ไม่ค่อยเจออาการสูญเสียการรับกลิ่นและรับรส อาการป่วยยังไม่รุนแรง แต่มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว ส่วนความเร็วในการแพร่โรคน่าจะมากและเร็วขึ้น ส่วนการทวีคูณของผู้ติดเชื้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีข้อมูลหลักฐานยืนยัน รวมถึงความรุนแรงของโรคก็ยังไม่มีหลักฐานข้อมูลยืนยัน ทั้งนี้ จากข้อมูลผู้เชี่ยวชาญบอกว่าวัคซีนยังป้องกันอาการรุนแรงได้ จึงเน้นให้คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไปฉีด โดยเฉพาะในภาคอีสาน
และขณะนี้พบสายพันธุ์โอไมครอนเพิ่มเติมที่ โปรตุเกส ออสเตรีย สวีเดน สเปน ญี่ปุ่น โดยเป็นผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจาก 8 ประเทศแอฟริกา ประกอบ บอตสวานา เอสวาตินี เลโซโท มาลาวี โมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้ ซิมบับเว
ตามตัว252คนจาก8ปท.แอฟริกามาตรวจ
นพ.ทวีศิลป์ยังเปิดเผยข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศไทย จาก 8 ประเทศดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 15-27 พฤศจิกายนมีผู้เดินทางเข้ามาทั้งสิ้น 333 ราย ออกนอกประเทศแล้ว 3 ราย คงเหลือในประเทศ 252 ราย ติดตามตัวได้แล้ว 11 ราย ขณะนี้ได้สั่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ (เอสเอ็มเอส) ให้บุคคลเหล่านี้เข้าตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR เร็วที่สุด โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลรัฐ และปฏิบัติตามควบคุมโควิดอย่างเข้มงวด หากสงสัยให้โทรศัพท์สอบถามหมายเลข 1422 ซึ่งหากใครไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ถือว่าละเมิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ
หลัง1ธค.ห้ามคน8ปท.เข้าไทยเด็ดขาด
ส่วนผู้ที่เดินทางมาจาก 8 ประเทศตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน ในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ ให้คุมตัวในที่พักไว้สังเกตการณ์เป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อ สำหรับรูปแบบการกักตัว ต้องกักตัวจนครบ 14 วันและตรวจหาเชื้อ ส่วนกรณีผู้ที่ออกจากสถานกักตัวแล้ว แต่ไม่ครบ 14 วันตามมาตรการลดการกักตัวก่อนหน้านี้ ให้คุมตัวในที่พักให้ครบ 14 วันแล้วตรวจหาเชื้อ ส่วนกรณีเดินทางถึงไทยตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ทั้งรูปแบบแซนด์บ็อกซ์และกักตัว ต้องกักตัว 14 วัน และตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไปไม่อนุญาตให้คนจาก 8 ประเทศเดินทางเข้าไทย ยกเว้นผู้มีสัญชาติไทย
เตือน172ร้านแอบขายเหล้าไม่มีSHA
นพ.ทวีศิลป์ยังแถลงความคืบหน้าการตรวจสอบ สถานประกอบการในกรุงเทพมหานคร (กทม.)ที่ได้รับมาตรฐาน SHA Plus+ว่า มี 1,679 แห่ง แบ่งเป็น ภัตตาคาร ร้านอาหาร 584 แห่ง โรงแรมอีก 500 กว่าแห่ง นอกนั้นเป็นสถานที่นันทนาการ สถานที่ท่องเที่ยว บริษัทนำเที่ยว ส่วนสถานประกอบการที่ได้มาตรฐาน SHA จำนวน 9,370 แห่ง ต่อมา กรุงเทพมหานครรายงานว่าได้ตรวจสถานประกอบการไปทั้งหมด 15,840 แห่ง จำนวนที่ตรวจ 10,161 ครั้ง ตักเตือน 619 ราย ดำเนินคดี 6 ราย สั่งปิด 1 ราย ส่วนผลการตรวจเฉพาะร้านอาหารพบว่ามี SHA 2,609 แห่ง ไม่มี SHA 5,455 แห่ง และมีขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1,892 แห่ง ไม่มีขาย 6,172 แห่ง ตักเตือนร้านอาหารที่เปิดให้ดื่มสุรา แต่ไม่มี SHA 172 แห่ง เรียกได้ว่ามาตรฐานตัวเองไม่ถึง แต่แอบขายสุรา ถือเป็นความร่วมมือของชุดปฏิบัติการร่วม ระหว่างตำรวจ ทหาร เทศกิจ สิ่งแวดล้อม และพัฒนาชุมชนที่ได้ช่วยกันพูดคุยและตักเตือน ดังนั้น ต้องขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการ สมาคมภัตตาคารร้านอาหาร ช่วยดำเนินตามมาตรการ SHA Plus+ และยังมีไทยสต็อปโควิดพลัส (TSC+), ไทยสต็อปโควิด 2 พลัส (TSC++) เป็นการเพิ่มมาตรการที่ต่างกับ SHA Plus+ ตามที่กรมอนามัยของกระทรวงสาธารณสุขทำไว้ จะได้เปิดเพิ่มให้ได้มากขึ้น ประชาชนจะได้มั่นใจ เพื่อเดินหน้ากิจการกิจกรรมในการเปิดประเทศได้
กรมวิทย์ฯลดค่าตรวจRT-PCRหาโควิด
ด้านนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาทบทวนค่าบำรุงการตรวจวิเคราะห์และให้บริการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อนุมัติให้การปรับปรุงอัตราค่าตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการชันสูตรโรคโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ด้วยวิธี Real Time RT-PCR โดยปรับลดราคาจากเดิม 1,300 บาท ลดลงเหลือ 1,100 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายนเป็นต้นมา ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวเป็นเฉพาะค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กองการแพทย์จีโนมิกส์และสนับสนุนนวัตกรรม และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งนี้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้วยวิธี Real Time RT-PCR เป็นวิธีมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ เพราะเร็ว ความจำเพาะสูง ทราบผลภายใน 2-3 ชั่วโมง เหมาะสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคที่ต้องการความถูกต้องแม่นยำ
ผบ.ตร.สั่งตามตัว783คนจาก8ปท.
ด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่า จากรายงานของผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศในกลุ่มทวีปแอฟริกาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ 783 คน กระจายอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและจังหวัดท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่พยายามจะติดตามตัวนักท่องเที่ยวทั้ง 783 คนดังกล่าวเพื่อมาตรวจสอบเชิงรุก ป้องกันเชื้อโควิคสายพันธุ์โอไมครอน นอกจากนี้ สั่งคุมเข้มสนามบิน ป้องกันเชื้อเข้าประเทศกรณีสิงคโปร์ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่รายแรก ถือว่าเข้าใกล้ประเทศไทยมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจคนเข้าเมืองเคร่งครัดการลักลอบเข้าออกตามช่องทางธรรมชาติอย่างดีอยู่แล้ว
ไปเที่ยว10ปท.ห้ามกลับเข้าญี่ปุ่น
ส่วนสถานการณ์ระบาดโควิด – 19 ในต่างประเทศนั้น นายฮิโรคาซุ มัตสึโน หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงวันเดียวกันนี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะสั่งห้ามชาวต่างชาติทั้งหมดไม่ให้เดินทางกลับเข้าประเทศ หากเพิ่งเดินทางไปยัง 10 ประเทศในทวีปแอฟริกา ที่สายพันธุ์โอไมครอนกำลังระบาดวงกว้าง โดยชาวต่างชาติที่ถูกสั่งห้ามเข้าญี่ปุ่นนั้นรวมถึงผู้มีถิ่นพำนักอาศัยที่ถือวีซ่าระยะยาวด้วย ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม สำหรับ 10 ประเทศในแอฟริกาที่ญี่ปุ่นกำหนดในมาตรการดังกล่าวได้แก่ แองโกลา บอตสวานา เอสวาตีนี เลโซโท มาลาวี โมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้ แซมเบีย และซิมบับเว
เนเธอร์แลนด์ตรวจเจอเชื้อโอไมครอน
สถาบันสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ (RIVM) ประกาศการตรวจพบเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ในการทดสอบตัวอย่างเพื่อตรวจโรคระหว่างวันที่ 19-23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีสองตัวอย่างได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นสายพันธุ์โอไมครอน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าคนเหล่านี้เคยเดินทางเยือนแอฟริกาตอนใต้หรือไม่ โดยสถาบันฯ แจ้งเตือนหน่วยงานบริการสาธารณสุขเทศบาล (GGDs) ในภูมิภาคต่างๆ ที่มีการเก็บรวบรวมตัวอย่าง เพื่อแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องและเริ่มแกะรอยแหล่งที่มาและผู้สัมผัสใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ การทดสอบในห้องปฏิบัติการพบ สายพันธุ์โอไมครอนสามารถกลายพันธุ์ได้อีกหลากหลายสายพันธุ์ หมายความว่าผู้คนอาจติดเชื้ออย่างเป็นอิสระ หรือจากแหล่งที่มาและสถานที่ต่างกัน
บราซิลยันผู้ติดเชื้อ2คนแรกในลาตินอเมริกา
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของบราซิลเผยแพร่แถลงการณ์ เมื่อวันอังคาร ยืนยันการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้วอย่างน้อย 2 คน เป็น 2 สามีภรรยาชาวบราซิล อาศัยอยู่ในแอฟริกาใต้เป็นหลัก และเดินทางกลับมายังบราซิล ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติเซาเปาลู เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นทั้งสองคนมีอาการป่วยเล็กน้อย จึงต้องเข้าตรวจ และผลบ่งชี้ว่า เป็นการติดเชื้อโอไมครอน ทั้งนี้ รัฐบาลบราซิลไม่ได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจนว่าผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศต้องแสดงหลักฐานยืนยันฉีดวัคซีนโควิดครบ แต่ขอให้อย่างน้อยต้องมีผลตรวจอาร์ที-พีซีอาร์ เป็นลบภายในเวลาไม่เกินกำหนด ขณะที่ทางการบราซิลเผยด้วยว่า ผู้ป่วยทั้งสองคนนับเป็นผู้ติดเชื้อโอไมครอน 2 คนแรกของบราซิล และลาตินอเมริกา
‘WHOI’วอนอย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นพ.เทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้นานาประเทศอย่าตื่นตระหนกหลังมีการค้นพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน จนทำให้มีการออกมาตรการป้องกันแบบเหวี่ยงแห ซึ่งเป็นการลงโทษต่อชาติแอฟริกาอย่างไม่เป็นธรรมโดย องค์การอนามัยโลก มีความกังวลกับสถานการณ์ที่นานาประเทศกำหนดมาตรการจำกัดการเดินทางแบบปูพรม กับหลายประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางกลับกันจะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้ นพ.เทดรอสเน้นย้ำว่า “ยังคงมีคำถามอีกมากมาย” เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโอไมครอน ที่ผู้เชี่ยวชาญกำลังเร่งศึกษาหากคำตอบ โดยเฉพาะเรื่องความรุนแรง และผลกระทบต่อวัคซีนทุกแบบ “แม้มีความเสี่ยงสูงมาก” ที่เชื้อโรคตัวนี้จะเพิ่มอัตราการแพร่ระบาด แต่จนถึงตอนนี้ ดับเบิลยูเอชโอยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ ว่ามีผู้ป่วยในประเทศใดเสียชีวิตแล้วจากเชื้อโอไมครอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี