สธ.เตือนภัยระดับ3 เหตุ‘โอมิครอน’แพร่ง่าย-เร็ว พร้อมเปิด‘3 ฉากทัศน์’ไม่ทำอะไรเลย ผู้ป่วยโควิดอาจพุ่งถึงวันละ 3 หมื่นราย
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ร่วมกันแถลงฉากทัศน์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย และอัพเดตสถานการณ์โอมิครอน
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ข้อมูลการฉีดวัคซีน ณ วันที่ 26 ธ.ค. เวลา 18.00 น. ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 102 ล้านโดส ส่วนสถานการณ์การติดเชื้อทั่วโลกติดแล้วเกือบ 280 ล้านคน อาการหนัก 8.8 หมื่นคน เสียชีวิตประมาณ 5.3 ล้านคน คิดเป็น 1.94% โดยสหรัฐอเมริกาติดเชื้อสูงสุด อย่างเมื่อวานติดกว่า 2.4 แสนราย รวมทั้งภาคพื้นยุโรป ที่อังกฤษติดแสนกว่าราย ฝรั่งเศส สเปน หลัก 7-8 หมื่นรายต่อวัน ขณะนี้สายพันธุ์ที่ระบาดคือ โอไมครอน สำหรับอาเซียน ไทยอยู่อันดับที่ 24 มีการติดเชื้อรายใหม่ 2,437 ราย และเสียชีวิต 18 ราย ซึ่งเป็นค่าตัวเลขที่ต่ำที่สุด แต่ข้อสังเกต คือ ขณะนี้ประเทศเวียดนามมีการติดเชื้อกว่า 1 หมื่นรายต่อวัน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โลกตั้งแต่มีการระบาดขณะนี้ เป็นเวฟที่ 4 ใหญ่ๆ ซึ่งกำลังไต่ขึ้น คือ การระบาดของโอมิครอนในภาพรวมของโลก แต่เส้นอัตราเสียชีวิตไม่ได้กระดกขึ้นตามอัตราผู้ติดเชื้อ หมายถึงการระบาดของโอมิครอนไม่ได้ทำให้ผู้เสียชีวิตมากขึ้น แสดงว่าอาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง โดยขณะนี้มี 106 ประเทศ
ปลัดสธ. กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.เป็นต้นมา สามารถคัดกรองผู้เข้าประเทศ โดยคิดเป็นโอมิครอนสะสม 514 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในการควบคุม มีบางส่วนที่เล็ดลอดและไปเยี่ยมญาติ อาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อก่อนหน้านี้ แต่ต้นเชื้อมีประมาณ 500 กว่าราย ส่วนอาการของผู้ป่วยประมาณ 90% เป็นอาการน้อยหรือไม่มีอาการ อาการเล็กน้อยอยู่ประมาณ 10 กว่า% และอาการมาก 3-4% ทั้งนี้ที่ประเทศอังกฤษมีการศึกษาและรายงานว่า โอไมครอนเมื่อเทียบกับเดลตา จะน้อยกว่าประมาณครึ่งหนึ่งที่จะต้องไปอยู่ รพ. เมื่อติดเชื้อแล้ว ขณะที่แอฟริกาใต้ก็เช่นเดียวกัน และมักพบว่าเชื้อไม่ได้ลงปอด แต่จะอยู่ที่แถวๆ คอ และหลอดลม
สำหรับประเทศไทยมีการศึกษาอาการของคนไข้สายพันธุ์โอมิครอน 41 รายที่ดูแลในรพ. พบว่า มีอาการไอ มากที่สุด 54% รองมาได้แก่ เจ็บคอ และไข้ อาการได้กลิ่นลดลงพบเพียง 1 ราย หรือ2% ซึ่งทุกรายได้รับการรักษาแต่เบื้องต้น และให้ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเมื่อให้ยาตั้งแต่ต้น อาการจะดีขึ้นใน 24-72 ชั่วโมง หลังรับยา และให้จนครบ 5 วัน
“สถานการณ์ของประเทศไทยผู้ป่วยอาการหนักลดลงต่อเนื่อง และนับตั้งแต่มีโอมิครอนเข้ามา ยังอยู่ในการควบคุมได้ แม้จะมีการไปพบปะ สัมผัสคนอื่น ระบบสอบสวนโรคเราสามารถติดตามและอยู่ในระบบได้แล้ว โดยรายงานวันนี้เราพบเสียชีวิต 18 ราย ถือว่าต่ำสุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ในกราฟการแสดงอัตราการติดเชื้อ ล่าสุด สธ.ได้จัดทำระดับการเตือนภัยโรคโควิด ซึ่งขณะนี้อยู่ในระดับ 3 โดยเป็นสัญญาณเตือน ว่า มีการติดเชื้อจากต่างประเทศ ซึ่งวันนี้ (27 ธ.ค.) เราพบว่ามาจากต่างประเทศ 92 ราย” ปลัด สธ. กล่าว
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า ผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ ตั้งแต่เปิดประเทศมาเราพบเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เสียชีวิตจากโควิดภาพรวมของวันที่ 27 ธ.ค. มี 18 ราย เมื่อพิจารณาจะพบว่า ผู้เสียชีวิต 70-80% ไม่ได้รับวัคซีน ดังนั้นการรับวัคซีนจะลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต จึงจำเป็นต้องเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม จากการระบาดของโอมิครอน ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงได้มอบให้ทางกรมควบคุมโรคจัดทำฉากทัศน์ขึ้นมา พบว่า โอมิครอนระบาดเร็วกว่า ง่ายกว่า แต่ความรุนแรงน้อยกว่าเดลตา ซึ่งหลายประเทศ อย่างสิงคโปร์ก็ออกมาว่าโอมิครอนไม่ได้รุนแรงมาก แต่เราต้องพยายามป้องกันการติดเชื้อให้มาก ไม่ให้มีการแพร่ระบาดรวดเร็วเกินไปนัก เพราะหากแพร่ระบาดและมีคนป่วยมากๆ จะกระทบต่อระบบการดูแลของสาธารณสุข หากเราสามารถพยากรณ์ว่า ความสามารถของโอมิครอนหากมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันมีการฉีดวัคซีนพื้นฐานได้จะเป็นอย่างไร โดยฉากทัศน์มี 3 แบบ คือ
แบบที่ 1 Least favourable เป็นฉากทัศน์ที่ไม่อยากให้เป็น กรณีอัตราการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นจากการระบาดโอไมครอนในประเทศ มีการฉีดวัคซีนได้ใกล้เคียงกับช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. แต่ประชาชนให้ความร่วมมือน้อย หรือไม่ให้ความร่วมมือ ไม่มีการป้องกัน ไม่มีมาตรการอะไรมาก ก็จะอยู่สถานการณ์รุนแรง ทำให้มีปัญหาการควบคุมโรคอย่างมาก
แบบที่ 2 ฉากทัศน์ Possible เป็นแบบปานกลาง
แบบที่ 3 ฉากทัศน์แบบ most favourable คือ แบบดีที่สุด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราพยายามควบคุม ซึ่งแต่ละฉากทัศน์เราคำนึงความสามารถการแพร่กระจายของโรค การฉีดวัคซีน โดยแบบที่ 3 ต้องมีมาตรการค่อนข้างมาก เร่งฉีดวัคซีนทุกกลุ่มได้สูงขึ้นทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 และบูสเตอร์ ฉีดมากกว่า 4 ล้านโดสต่อสัปดาห์ แต่ทั้งหมดเราก็พยายามดูให้สมดุลกับการดำเนินชีวิต
“ขณะนี้เรามาถึงสถานการณ์จริงตามกราฟเส้นสีน้ำเงิน ซึ่งถือว่าไทยทำได้ดี แต่ปัจจุบันเรามาถึงทางแยก เพราะมีการระบาดของโอไมครอน ซึ่งหากเราไม่มีมาตรการ ไม่ทำอะไรเลยจะเข้ากับเส้นกราฟสีเทา คือ มีการระบาด ควบคุมได้ยาก ใช้เวลา 3-4 เดือนในการควบคุม อาจมีการติดเชื้อรายวัน อาจถึง 3 หมื่นราย แต่หากเราควบคุมได้ดีตามเส้นสีเขียว จะอยู่ที่หมื่นรายนิดๆ และสามารถควบคุมโรคได้เร็วประมาณ 1-2 เดือนตัวเลขจะลดลงมา หากทำได้ในระดับปานกลาง ตัวเลขผู้ป่วยจะอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นรายต่อวัน และค่อยๆทรงตัว และค่อยๆลดลงในที่สุด ทางกระทรวงสาธารณสุขอยากให้เป็นเส้นสีเขียว จึงต้องร่วมมือกันอีกครั้ง เพราะไม่อยากล็อกดาวน์ประเทศ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า สำหรับการคาดการณ์ผลจากการป้องกันควบคุมโรคไตรมาส 1 ปี 2565 เปรียบเทียบจำนวนผู้เสียชีวิต คาดการณ์ว่า หากเราไม่ทำอะไรเลยก็จะเป็นเหมือนเส้นกราฟสีเทา เสียชีวิตสูง 170-180 คนต่อวัน แต่หากทำได้ดีจะมีผู้เสียชีวิตวันละ 60-70 รายแต่จะลดลง ทั้งนี้ การคาดการณ์เส้นกราฟเสียชีวิต เราใช้พื้นฐานของเชื้อที่ว่า ติดเชื้อสูง แต่ความรุนแรงต่ำ อัตราการเสียชีวิตอาจไม่สูงมาก โดยโรคนี้ป่วยได้ แต่ต้องรักษาได้ ไม่ให้เสียชีวิต หรือลดอัตราตายให้มากที่สุด
สำหรับอัตราการใช้เตียงของประเทศ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ขณะนี้เรามีเตียง 1.7 แสนเตียง จากที่เคยขยายถึง 2 แสนเตียง แต่ปัจจุบันเคสไม่มากจึงเหลือ 1.7 แสนเตียง โดยปัจจุบันเตียงสีแดงเรียกว่า ระดับ 3 เราใช้อยู่ 31.6% มีประมาณ 5 พันเตียง ส่วนเตียงระดับ 2 ใช้ประมาณ 25.6% ส่วนเตียงสีเขียวมีมาก ใช้ประมาณ 6.4% จากเตียงที่มีกว่า 1.1 แสนเตียง ซึ่งเตียงสีเขียวเราสามารถเพิ่มได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนเรื่องยาเรามียาฟาวิพิราเวียร์สำรองประมาณ 15 ล้านกว่าเม็ด ซึ่งประมาณการณ์ใช้ได้อย่างน้อย 2 เดือน หากมีสถานการณ์ที่ต้องการยา เรามีการสำรองและองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้
“สรุปสถานการณ์โควิดทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐ และประเทศแถบยุโรป เกิดจากโอไมครอน ส่วนไทยเรายังควบคุมผู้ติดเชื้อได้ค่อนข้างดี ซึ่งขณะนี้โอมิครอนเริ่มมากขึ้นในไทย เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศแถบยุโรป สหรัฐ แอฟริกา และตะวันออกกลาง ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะช่วงหลังปีใหม่อาจพบติดเชื้อ และเสียชีวิต แต่อาการส่วนใหญ่ยังไม่รุนแรง ไม่ป่วยหนัก แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวป้องกันโรค และขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 หรือเข็ม 3 เพราะลดการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้ รวมทั้งขอให้มีการตรวจ ATK อย่างสม่ำเสมอ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า สธ. ประเมินสถานการณ์และประกาศแจ้งการเตือนภัยด้านสาธารณสุขเป็นระดับ 3 จากทั้งหมด 5 ระดับ เพื่อป้องกัน ตรวจจับการระบาด ควบคุมโรคและสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือของประชาชน ฉะนั้น หากมีการแจ้งเตือนภัยด้านสาธารณสุขเป็นระดับ 3 สิ่งที่ต้องเน้นย้ำและขอความร่วมมือ ได้แก่ 1.ปฏิบัติตามมาตรการ Covid-19 free settings อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะสถานที่เสี่ยงระบบปิด เช่น ร้านอาหารที่เป็นห้องปรับอากาศ ที่แออัด พนักงานจะต้องฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน รวมถึงสุ่มตรวจ ATK เป็นระยะ และคัดกรองลูกค้า เว้นระยะห่าง ซึ่งที่มาผ่านพบว่าดำเนินการได้ดี แต่ยังพบหลายร้านย่อหย่อนไปบ้าง เช่น ไม่ได้ตรวจสอบการฉีดวัคซีนกับพนักงานใหม่ ซึ่งหากมีความแออัด จะต้องใช้ระบบจองคิว แนะนำลูกค้าปฏิบัติตามมาตรการ ทำความเข้าใจกับลูกค้า
“เชื่อว่าหลังปีใหม่อาจมีการระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะโอมิครอนที่ติดเชื้อง่าย ดังนั้น ขอให้ท่านปฏิบัติมาตรการทำงานจากที่บ้าน(Work From Home) อย่างต่อเนื่อง” นพ.โอภาส กล่าว
อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า การประเมินความเสี่ยงมี 5 ระดับ คือ สีแดงเข้ม แดง ส้ม เหลือง และเขียว เราดูจาก 1.อัตราผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นข้อมูลรายสัปดาห์ หากสีแดงคือติดเชื้อมากกว่า 50 คน/แสนประชากร/วัน และ 2.ความสามารถรองรับผู้ป่วย เตียงเขียว เหลือง แดง ซึ่งจะเน้นย้ำในผู้ป่วยหนัก นอกจากนั้น ยังดูการฉีดวัคซีนครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง คู่กับการระบาดในคลัสเตอร์ว่าควบคุมได้อย่างในระดับพื้นที่ จากนั้นจะแจ้งเตือนภัย 5 ระดับ คือ
1.สีเขียว ใช้ชีวิตตามปกติ เปิดโควิดฟรีเซ็ตติ้งทุกแห่ง การเดินทางข้ามประเทศได้ปกติ
2.สีเหลือง ให้เร่งเฝ้าระวัง จำกัดเข้าพื้นที่ปิด เริ่มระบบ Test & Go
3.สีส้ม จำกัดการรวมกลุ่ม ปิดสถานบริการ ทำงานจากที่บ้าน คัดกรองก่อนเดินทาง และเปิดระบบแซนด์บ็อกซ์
4.สีแดง ปิดสถานที่เสี่ยง เปิดเฉพาะสถานที่จำเป็นต้องชีวิต ชะลอการเดินทางข้ามพื้นที่ ใช้ระบบกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ แบบลดวันกักตัว
5.สีแดงเข้ม จำกัดการเดินทางและกิจกรรม เคอร์ฟิว และใช้ระบบกักตัวผู้เดินทางทุกราย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี