นายพรานโหด! ล่าเสือโคร่งป่าทองผาภูมิ พบซาก-หนังขึงตากแห้ง คนร้ายไหวตัวทันหนีลอยนวล
12 มกราคม 2565 นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า ตามนโยบาย "ทส.หนึ่งเดียว" และทส.ยกกำลัง X" ของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อสั่งการ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ดำเนินการ ป้องกันและปราบปราม การบุกรุกทำลายป่าและล่าสัตว์ป่า อย่างเด็ดขาด
ล่าสุดได้เกิดเหตุการณ์สลดขึ้น ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ โดยระหว่างวันที่ 8-11 ม.ค.ที่ผ่านมา นายเจริญ ใจชน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้สั่งการให้พนักงานพิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ รวม 10 นาย นำโดยนายวันชัย สูนคำ พนักงานพิทักษ์ป่าฯ ออกลาดตระเวนตรวจปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีกลุ่มบุคคลเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา
จนกระทั่งเวลา 10.00 น.ของวันที่ 9 ม.ค.เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้ลาดตระเวนไปถึงป่าลำห้วยปิล๊อก หมู่ 4 ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ห่างจากในเขตชายแดนไทย-พม่า ประมาณ 3-4 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มควันไฟมาจากลำห้วย จึงทำการซุ่มเข้าตรวจสอบ พบกลุ่มบุคคล จำนวน 5 คน ตั้งแคมป์อยู่ริมลำห้วย ระหว่างเข้าทำการจับกุมตัวนั้น ปรากฏว่าสุนัขของกลุ่มคนร้ายที่ใช้นำทางเห่าหอนขึ้นมาเสียก่อน ทำให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่แล้ววิ่งหลบหนีไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามวิ่งไล่แต่ไม่ทัน เนื่องจากกลุ่มบุคคลเหล่านั้นชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี
จากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบแคมป์พัก เจ้าหน้าที่ทุกนายต่างรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่าเสือโคร่งถูกยิงเสียชีวิต จำนวน 2 ตัว แล้วแร่เอาเนื้อมาย่างไฟ ส่วนหนังของเสือโคร่งทั้งสองตัว ถูกนำมาขึงให้แห้ง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก พร้อมอุปกรณ์ต่างๆอีก จำนวน 29 รายการ ตกอยู่ที่แคมป์พัก
จากการตรวจสอบโดยรอบ พบซากวัวจำนวน 1 ตัว ถูกนำมาผูกเอาไว้กับต้นไผ่ สำหรับเอาไว้เป็นเหยื่อล่อเสือโคร่งให้มากินเป็นอาหาร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเสือโคร่งทั้ง 2 ตัว คงจะออกมาหากินตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา
ต่อมาวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบซากเสือโคร่งรวมทั้งอาวุธปืนเพื่อรวมรวมเป็นหลักฐานอยู่นั้น นายชูชาติ สวดมนต์ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ได้รับสายโทรศัพท์ จากคนที่อ้างตนเองว่าว่าชื่อนายป้อม ทองผาประวิติ โดยนายป้อม ได้โทรมาขออาวุธปืนลูกซอง 5 นัด ยี่ห้อวินเชสเตอร์ หมายเลขประจำปืน 1526415 คืนจากเจ้าหน้าที่ โดยแจ้งว่าอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวนั้นเป็นของนาย บุญถิ่น จันทร์เขต เจ้าหน้าที่ อปพร.จากข้อมูลดังกล่าวเจ้าหน้าที่จะทำบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานเพื่อมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ว่าบุคคลที่แอบอ้างนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผอ.สบอ.3 (บ้านโป่ง) กล่าวว่า ส่วนในวันนี้ (12 ม.ค.65) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ได้นำหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมด เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ เพื่อติดตามหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เชื่อว่าหลักฐานที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีในโดยเร็วอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ตนยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯเก็บตัวอย่างซากเสือโคร่งทั้ง 2 ซากส่งไปตรวจ DNA ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ อย่างละเอียดเพื่อให้ทราบว่าเสือทั้ง 2 ตัวมีอายุประมาณเท่าไหร่ และถูกยิงด้วยอาวุธปืยชนิดใด้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป
ซึ่งนายเจริญ ใจชน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ได้รายงานว่า สำหรับอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่ 772,214ไร่ มีแนวเขตด้านตะวันตกติดชายแดนพม่าระยะทาง 152 กิโลเมตร มีเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าปกป้องป่าและสัตว์ป่า 120 นาย โดยตนและเจ้าหน้าที่ทุกนาย ขอให้คำมั่นว่าจะดูแล รักษาปกป้องพื้นที่ป่า และสัตว์ป่า เท่ากับชีวิต ของตนเองเพื่อให้เป็นมรดกของประเทศชาติต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี