ดับเซ่นโควิดน้อยสุดแค่ 9 ศพ
ทุบสถิติครั้งแรก
สธ.ห่วงกลุ่มเสี่ยงต้องเร่งฉีดเข็ม 3
ยันป่วยติดเชื้อรักษาที่บ้านได้
กทม.เปิดแล้ว 25 ศูนย์พักคอย
เร่งค้นหาเชิงรุก 6.3 พันชมชน
ตรวจ ATK ผลบวกกว่าหมื่นคน
ไทยติดโควิดรายวันขยับเป็น 8,077 ราย ตาย 9 ศพ ต่ำกว่าหลักสิบวันแรกในรอบหลายเดือน ทั้งหมดอายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัว “สธ.” ชี้มาจากปัจจัยสำคัญคือ ฉีดวัคซีนครอบคลุม ย้ำกลุ่มเสี่ยง 608 ต้องฉีดบูสเข็ม 3 หลังฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 3 เดือน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดอาการรุนแรง-เสียชีวิต ย้ำคนติดเชื้อรักษาที่บ้านได้ กทม.ติดที่ 1 ป่วยสูงสุด เปิดศูนย์พักคอยแล้ว 25 แห่ง ลุยตรวจหาเชื้อ 6.3 พันชุมชน ด้วย ATK 2.25 แสนชุด เจอติดเชื้อกว่าหมื่นคนนายกฯห่วงเด็กเล็ก ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน เตือนปชช.เข้มมาตรการป้องกันตัวเองแบบครอบจักรวาล ย้ำต้องใส่แมส100%บูสเตอร์เข็ม3
เมื่อวันที่ 16มกราคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) รายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยรายวัน โดยยอดผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นทะลุ 8,000 อีกครั้ง
ไทยติดเชื้อ8,077-มาจากตปท.282คน
ศบค.ระบุว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,077 คน จำแนกเป็นผู้ป่วยใหม่ 7,724 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 60 ราย ติดเชื้อจากผู้เดินทางต่างประเทศ 282 ราย และติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขังเพิ่ม 11 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 101,050 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,324,485 ราย หายป่วยเพิ่มวันนี้ 4,887 ราย หายป่วยสะสม 53,517 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,222,011 ราย
ตาย9-รักษาในรพ.กว่า8หมื่นคน
ส่วนผู้เสียชีวิตมี 9 คน เสียชีวิตสะสม 227 คน เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 รวม 21,925 คน ส่วนผู้ป่วยรักษาอยู่ 80,549 ราย แบ่งเป็นรักษาในโรงพยาบาล 45,918 ราย โรงพยาบาลสนามและอื่นๆ 34,631 ราย อาการหนัก 509 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 106 ราย สำหรับผู้เสียชีวิต 9 รายนั้น แบ่งเป็น ชาย 5 ราย หญิง 4 ราย เป็นคนไทย 9 ราย อยู่ที่จ.อุดรธานี เสียชีวิต 1 ราย สงขลา 2 ราย กระบี่ 1 ราย ภูเก็ต 1 ราย นครนายก 2 ราย ชลบุรี 1 ราย ปราจีนบุรี 1 ราย
ฉีดวัคซีนแล้ว109ล้านโดส
ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค อาทิ ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคหัวใจ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิดยังคงติดจากคนในครอบครัว เพื่อน คนในชุมชน อาชีพเสี่ยง การเข้าไปสถานที่แออัด ไปพื้นที่ระบาด
ขณะที่จำนวนผู้รับวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564- 15 มกราคมรวม 109,369,708 โดส ใน 77 จังหวัด จำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 51,794,886 ราย เข็มที่ 2 สะสม 47,551,074 ราย และเข็มที่ 3 สะสม 10,023,748 ราย
กทม.-ปากน้ำ-ชลบุรี3จว.สูงสุด
ศบค.รายงานต่อว่า สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายใหม่สูงสุด อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ติดเชื้อรายใหม่ 789 ราย ยอดสะสม 9,225 ราย อันดับ 2 สมุทรปราการ 705 ราย ยอดสะสม 7,392 ราย อันดับ 3 ชลบุรี 692 ราย ยอดสะสม 11,086 ราย อันดับ 4 ภูเก็ต 400 ราย ยอดสะสม 4,893 ราย อันดับ 5 นนทบุรี 387 ราย ยอดสะสม 3,891 ราย อันดับ 6 ปทุมธานี 287 ราย ยอดสะสม 1,868 ราย อันดับ 7 ขอนแก่น 278 รายยอดสะสม 3,599 ราย อันดับ 8 อุบลราชธานี 262 ราย ยอดสะสม 5,304 ราย อันดับ 9 เชียงใหม่ 183 ราย ยอดสะสม 3,075 ราย อันดับ 10 ระยอง 183 ราย ยอดสะสม 2,002 ราย
1-15มค.นทท.เข้าไทย3.9พันคน
สำหรับการรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินหัวหิน สนามบินภูเก็ต และสนามบินสมุย ตั้งแต่วันที่ 1-15 มกราคมมียอดสะสม 3,970 คน แยกเป็น กลุ่ม Test&Go 2,209 ราย แซนด์บ็อกซ์ 1,439 ราย อยู่ระหว่างกักตัว (Quarantine) 322 ราย
วันแรกตายต่ำสิบรอบหลายเดือน
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่วันนี้ประเทศไทยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ตัวเลขต่ำกว่า 10 รายว่า วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือน ที่มีรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในไทยในการระบาดครั้งนี้ต่ำกว่า 10 ราย ซึ่งเกิดจากหลายเหตุผล แต่สำคัญที่สุดคือ ตัวเลขผู้ป่วยอาการหนัก ผู้ป่วยปอดอักเสบ ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจลดลงต่อเนื่องหลายเดือน รวมถึงการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น
อายุเกิน60-ย้ำกลุ่มเสี่ยงต้องบูส
ทั้งนี้ หากสังเกตจะพบผู้เสียชีวิต 9 รายใหม่วันนี้ ทุกรายเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 คือ ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรั้ง และหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ในจำนวน 9 รายนี้ มี 1 ราย ที่รับวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม มา 4 เดือนแล้ว ดังนั้น มีโอกาสติดเชื้อและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ตามนโยบายสธ.ที่เร่งกระตุ้นวัคซีนเข็มที่ 3 ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง เราจึงขอให้กลุ่มเสี่ยงเข้ามารับวัคซีนบูสเตอร์โดสตามกำหนด
ห่วงหญิงชราติดเชื้อจากลูกหลาน
นพ.โอภาสกล่าวด้วยว่า วันนี้ที่มีรายงานพบผู้เสียชีวิต ติดเชื้อโอไมครอน ได้รับรายงานว่า เกิดขึ้นที่ จ. สงขลา เป็นหญิง อายุ 86 ปี ป่วยอัลไซเมอร์ อยู่ในกลุ่มผู้ป่วย 608 แม้จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ครบ 2 เข็มแล้วแต่ก็ยังป่วยติดเชื้อ จากลูกหลานที่ไปเยี่ยมช่วงปีใหม่ จึงยังคงต้องย้ำเตือนให้ระวังในกลุ่มคนที่ต้องใกล้ชิดผู้ป่วยเปราะบาง ต้องเคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย เคร่งครัด ระยะห่าง ล้างมือ และควรนำกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ ที่เป็นผู้สูงอายุ และป่วยเรื้องรัง ที่รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว มารับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็ม 3 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
เปิดไทม์ไลน์ฉีดเข็ม3ให้กลุ่มเสี่ยง608
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพบว่าฉีดวัคซีนครบ 4 เดือนแล้ว ติดเชื้อถึงขั้นเสียชีวิตได้ จะทราบอย่างไรว่าแต่ละคนภูมิต้านทานเหลือมากน้อยอย่างไร นพ.โอภาส กล่าวว่า สธ.จะสุ่มตรวจเลือดประชาชนเป็นระยะ เพื่อดูข้อมูลและประกาศให้เข้ามารับบูสเตอร์โดส เราพบว่าเมื่อรับเข็มที่ 2 ไปแล้ว 3 เดือน ภูมิคุ้มกันเริ่มตก และเมื่อมีเชื้อโอมิครอนที่ระบาดเร็ว ก็อาจต้องการภูมิฯ สูงขึ้นเล็กน้อย เราจึงประกาศว่าให้กลุ่มเสี่ยง 608 เข้ามารับวัคซีนเข็มที่ 3 หลังรับเข็มที่ 2 มาแล้ว 3 เดือน กลุ่ม 608 ขอให้มารับตามที่กำหนดได้เลย คือ ครบ 2 เข็ม เดือนตุลาคม 2564 ให้ไปรับเข็มที่ 3 ได้เดือนนี้ ครบ 2 เข็ม เดือนพฤศจิกายน 2564 ให้รับเดือนกุมภาพันธ์ครบ 2 เข็ม เดือนธันวาคม 2564 ก็ไปรับในเดือนมีนาคม
ฉีดตามกำหนดดับไม่เกิน20คน/วัน
ถามถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อจะยังคงเหวี่ยงขึ้นลงอย่างไร นพ.โอภาสชี้แจงว่า ขณะนี้เราฉีดวัคซีนครอบคลุมทุกกลุ่มแล้ว และกระตุ้นเข็มที่ 3 รวมถึงจำนวนผู้ป่วยอาการหนักไม่มาก แต่ระยะนี้ พบว่าเชื้อโอมิครอนติดได้ง่าย คนเริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น เพราะเราไม่อยากต้องปิดกิจการ/กิจกรรมนาน กลัวเศรษฐกิจเสียหาย คนตกงานจะมากขึ้น ดังนั้น หากติดเชื้อระดับนี้ ระบบสาธารณสุขยังรองรับได้ โดยเฉพาะความร่วมมือเข้าระบบแยกกักที่บ้านและชุมชน (Home and community Isolation) เพื่อให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยหนักได้รับการดูแลในโรงพยาบาล (รพ.) เราคาดว่า หากทุกคนมารับวัคซีนตามกำหนด ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะเฉลี่ยวันละ 20 ราย ไม่น่าสูงกว่านี้ แต่คิดว่าจะอยู่ระดับต่ำสิบหรือสิบเล็กน้อยอีกระยะหนึ่ง เพราะกลุ่มเสียชีวิตส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่ม 608 และย้ำว่ากลุ่มนี้ แม้จะได้รับวัคซีนก็ต้องมารับเข็มกระตุ้น
ยันติดเชื้อรักษาตัวที่บ้านได้
“ขณะนี้สถานการณ์ระบาดของไทยเข้าสู่เส้นสีส้มของการคาดการณ์ฉากทัศน์ โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่พุ่งขึ้นไปในหลักหลายหมื่นราย สธ.พยายามกดให้อยู่ในเส้นสีเขียว แต่ต้องมีมาตรการเข้มงวดมาก เช่น ปิดกิจการ/กิจกรรม เราก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ดังนั้น เราต้องประคองทุกมิติให้อยู่ร่วมกันได้ และพยายามทำให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ในระยะถัดไป” นพ.โอภาส กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงอัตราผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่แยกกักที่บ้าน (Home Isolation) แล้วมีอาการเปลี่ยนแปลงจนต้องเข้าโรงพยาบาล (รพ.) นพ.โอภาส กล่าวว่า รายงานเบื้องต้นส่วนใหญ่สามารถรักษาที่บ้านได้ ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยน้อยมากจนถึงไม่มีอาการ เพราะคนส่วนใหญ่รับวัคซีนไปแล้ว แต่ตัวเลขที่สรุปชัดเจนนั้น อยู่ระหว่างประสานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่รับผิดชอบสายด่วน 1330 และระบบกักตัวที่บ้าน (HI) ดูแลผู้ติดเชื้อในระบบ ยืนยันว่า หากอาการน้อย ได้รับวัคซีนแล้ว สามารถรักษาที่บ้านเข้า HI ได้ เพราะคนที่มีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่เราจะให้อยู่ใน รพ.อยู่แล้ว ไม่ให้รักษาที่บ้าน
คาดไฟเซอร์เด็กส่งตามกำหนด
ถามถึงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-12 ปี พร้อมความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครอง นพ.โอภาส กล่าวว่า ตามที่บริษัท ไฟเซอร์ นัดหมายส่งวัคซีนสำหรับเด็ก 5-12 ปี มาช่วงปลายเดือนมกราคม ยังเชื่อว่าเป็นไปตามกำหนดเดิม ซึ่งจะตรวจสอบวันที่แน่นอนอีกครั้ง ถ้าไม่ได้ปลายเดือนก็ต้นเดือนกุมภาพันธ์ คงไม่หนีจากนี้
เด็ก5-11ปี70%สมัครใจฉีด
อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รายงานว่าจำนวนเด็กในกลุ่ม 5-11 ปี มี 5 ล้านคน จากการสุ่มสำรวจพบว่าผู้ปกครองสมัครใจให้ลูกรับวัคซีนไฟเซอร์ ร้อยละ 70 แต่อย่างที่ผ่านมา ในการฉีดเด็ก 12-18 ปี ตอนแรกก็ระบุว่าจะสมัครใจรับเพียง ร้อยละ 80 แต่เมื่อเวลาผ่านไป พบข้อมูลว่าเกิดผลข้างเคียงน้อยก็สมัครใจเข้ามารับเพิ่มเติม ทั้งนี้ ยืนยันว่าวัคซีนที่ อย.รับรองปลอดภัย ฉีดได้ตามกำหนด รายงานต่างประเทศพบว่า การฉีดในเด็กเล็ก เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่เกิดขึ้นได้น้อยกว่ามากด้วยปริมาณที่ใช้ต่างจากผู้ใหญ่ ให้ความมั่นใจกับผู้ปกครอง แต่การฉีดวัคซีนสำหรับทุกคนเป็นไปตามสมัครใจ และยืนยันว่าไม่ใช่เงื่อนไขการเข้าเรียนออนไซต์ หรือเอามากำหนดแนวทางการเรียนของเด็ก
กทม.เปิดศูนย์พักคอยแล้ว25แห่ง
ขณะที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ประจำวันในกรุงเทพมหานครว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่ 789 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนผลดำเนินงานศูนย์พักคอยของกทม.หรือCommunity Isolation (CI) 41 แห่ง (4,991 เตียง) เปิดให้บริการแล้ว 25 แห่ง (3,314 เตียง) มีผู้ป่วยรายใหม่ 125 ราย รวมผู้ป่วยครองเตียง 392 ราย คงเหลือ 2,922 เตียง รายงานสถิติผู้ป่วยติดเชื้อแบบแยกกักรักษาตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation (HI) มีผู้ป่วยใหม่ 970 ราย อยู่ระหว่างรักษา 6,679 ราย หายป่วย 1,375 ราย โดยผู้ป่วยที่อยู่ในระบบ CI และ HI ไม่พบรายงานเสียชีวิต
ตรวจATK2.25แสนติดเชื้อหมื่นคน
ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของทีมค้นหาเชิงรุกกรุงเทพมหานคร Bangkok CCRT ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ต่อเนื่องถึง 15 มกราคม ตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนไปแล้ว 6,331 แห่ง มีประชาชนเข้ารับบริการ 543,877 ราย แบ่งเป็นบริการวัคซีน 292,445 ราย การตรวจหาเชื้อโควิดด้วยชุดตรวจ ATK 225,419 ราย ผลพบเชื้อ 10,853 ราย กทม.นำผู้ป่วยเข้ารักษาตามระดับอาการที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว
กทม.บูสเข็ม3แล้ว2.2ล้านราย
“ทั้งนี้ ประชาชนในกรุงเทพฯรับวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 9,303,369 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 8,614,830 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 2,217,128 ราย ส่วนคนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อขอให้ประสานเข้าระบบการรักษาผ่านสายด่วน สปสช.1330 กด 14 หรือ สายด่วนศูนย์เอราวัณ 1669 กด 2 หรือสายด่วนโควิด-19 (EOC) 50 เขต หรือสายด่วน สปสช. 1330 กด 14 หรือสายด่วนศูนย์เอราวัณ 1669 กด 2 และจะเปิดหมายเลขโทรศัพท์สายตรง ให้ใช้ได้วันที่ 17 มกราคม”ผู้ว่าฯกทม.กล่าว
นายกฯย้ำปชช.ใส่แมส100%
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ฝากเตือนประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันส่วนบุคคลขั้นสูงสุด และสวมหน้ากากอนามัย 100% ออกนอกบ้านให้สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เป็นปกติวิสัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ งดรวมกลุ่มรับประทานอาหารร่วมกันในที่ทำงาน และไม่ไปสถานที่เสี่ยง
ร้านค้าเข้มโควิดฟรีเซ็ตติ้ง
ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ ขอย้ำร้านอาหารต่างๆ ต้องเข้มงวดตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting) ขณะที่สถานประกอบการ และหน่วยงานควรจัดให้พนักงานทำงานที่บ้าน และขอให้ตรวจหาเชื้อเชิงรุกด้วยชุดตรวจ ATK สม่ำเสมอ รวมไปถึงเชิญชวนประชาชนเร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ที่กำหนดก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 โดยเร็ว เพื่อสร้างภูมิต้านทาน ลดอาการรุนแรงเพื่อให้ใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อยู่กับโรคได้อย่างปลอดภัย
ห่วงกลุ่มเด็กเล็กที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
นายธนกรกล่าวต่อว่า กรณีวัคซีนเข็มกระตุ้น ผู้มีประวัติติดเชื้อให้ใช้แอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มกระตุ้น รวมถึงผู้ฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ หรือครบตามเกณฑ์น้อยกว่า 2 สัปดาห์ก่อนการติดเชื้อ ส่วนกรณีวัคซีนป้องกันโควิดสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปี ปริมาณวัคซีนอยู่ที่ 10 ไมโครกรัม/โดส/คน คาดว่าจะเริ่มทยอยเข้ามาในประเทศไทยได้ประมาณปลายเดือนมกราคม หรือภายในเดือนกุมภาพันธ์ โดยไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ของทวีปเอเชียในการสั่งวัคซีนมาใช้ในเด็กอายุ 5-11 ปี เพราะปัจจุบันวัคซีนที่ใช้ในเด็กเป็นที่ต้องการทั่วโลก
“นายกฯห่วงกลุ่มเด็กเล็กที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้รัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี เรียบร้อยแล้ว ส่วนวัคซีนเชื้อตายสำหรับฉีดให้เด็กทั้งซิโนแวคและซิโนฟาร์มนั้น อย.เร่งขึ้นทะเบียนเชื้อตายสำหรับฉีดในเด็ก ซึ่งต้องรอผ่านมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันก่อน เมื่อผ่านแล้วผู้ปกครองสามารถเลือกสูตรฉีดวัคซีนให้บุตรหลานด้วยความสมัครใจ”นายธนกรกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี