โควิดไทยโอมิครอนกลืนเดลต้า
กทม.เชื้อพุ่ง1,630ราย
นายกฯกำชับสธ.คุมระบาดให้ดี
ปลัดสธ.ย้ำคงเตือนภัยระดับที่4
เดินแผนทำให้เป็นโรคประจำถิ่น
ร้านอาหารกึ่งผับทำแพร่ระบาดหนัก
ป่วยรายวันขยับที่8,640/ตาย13ศพ
ไทยติดเชื้อใหม่พุ่ง 8,640 ตาย 13 ศพ กทม. กลับมายอดพุ่งติดโควิดวันเดียว 1,630 ราย สูงสุดในประเทศ ปลัด สธ.เข้าพบนายกฯ รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ กทม.เพิ่มหลักพันวันที่สอง เผยนายกฯกำชับหลังผ่อนคลายมาตรการแล้ว ให้ควบคุมสถานการณ์ให้ดี สธ.ชี้แนวโน้มสถานการณ์ระบาดในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกทม.-ปริมณฑล-8จว.สีฟ้า ยังคงเตือนภัยโควิดที่ระดับ 4 เคร่งครัดมาตรการต่อเนื่อง ส่วนการตรวจสอบสายพันธุ์พบช่วงมค.เป็นโอมิครอน 87% คนที่เข้ามาจากตปท.พบเป็นโอมิครอนเกือบ100% คาดสิ้นเดือนมค.แทนที่เดลตา
เมื่อวันที่ 21 มกราคม2565 ศูนย์บริหารสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยรายวัน
ติดเชื้อใหม่8,640-ตาย13ราย
โดเยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 8,640 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวัง และระบบบริการฯ 8,369 ราย จากการค้นหาเชิงรุก 56 ราย จากเรือนจำ 20 ราย และผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ 195 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 138,267 ราย ในส่วนผู้หายป่วยวันนี้มี 8,641 ราย รวมหายป่วยสะสม 88,488 ราย มีผู้ป่วยที่กำลังเข้ารักษาอยู่ 82,720 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยอาการหนัก 540 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 118 ราย
เข้าปท.ตรวจพบติดเชื้อ195คน
สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตวันนี้มี 13 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 302 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.22 เป็นผู้เสียชีวิตจากกรุงเทพมหานคร 4 ราย นนทบุรี 1 ราย บุรีรัมย์ 1 ราย อุบลราชธานี 1 ราย แม่ฮ่องสอน 1 ราย สงขลา 1 ราย ชลบุรี 2 ราย จันทบุรี 1 ราย ตราด 1 ราย และราชบุรี 1 ราย เป็นเพศชาย 10 ราย หญิง 3 ราย ค่าเฉลี่ยอายุของผู้เสียชีวิตคือ 83 ปี ในส่วนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศและพบว่าติดเชื้อวันนี้ทั้งหมด 195 ราย จากระบบ Test & Go จำนวน 52 ราย ระบบแซนด์บ็อกซ์ จำนวน 95 ราย ระบบกักตัว 46 ราย และลักลอบเข้ามา 2 ราย
กทม.กลับมาป่วยพุ่ง1,630คน
สำหรับผู้ติดเชื้อสูงสุด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) พบผู้ติดเชื้อ 1,630 ราย สมุทรปราการพบผู้ติดเชื้อ 700 ราย ชลบุรี พบผู้ติดเชื้อ 482 ราย นนทบุรี พบผู้ติดเชื้อ 469 ราย ภูเก็ต พบผู้ติดเชื้อ 377 ราย ปทุมธานีพบผู้ติดเชื้อ 294 ราย ขอนแก่นพบผู้ติดเชื้อ 273 ราย นครราชสีมา พบผู้ติดเชื้อ 189 ราย อุบลราชธานีพบผู้ติดเชื้อ 155 ราย และนครปฐม พบผู้ติดเชื้อ 151 ราย
ไทยฉีดวัคซีนแล้ว111.3ล้านโดส
ด้านการฉีดวัคซีนไทยฉีดวัคซีนแล้วรวม 111,323,026 โดส โดยวันนี้ฉีดวัคซีนไป 523,090 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 เพิ่มขึ้น 46,078 ราย คิดเป็นร้อยละ 72.1 ของจำนวนประชากรทั้งหมด เข็มที่ 2 เพิ่มขึ้น 110,971 ราย คิดเป็นร้อยละ 66.6 ของจำนวนประชากรทั้งหมด และเข็มที่ 3 เพิ่มขึ้น 366,041 ราย คิดป็นร้อยละ 15.8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด
1กพ.ฉีดไฟเซอร์เด็ก5-11ปี-ป.6ล็อตถัดไป
นอกจากนี้ ศบค.ยังออกประกาศแผนฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (ฝาสีส้ม) สูตรสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ในส่วนของล็อตแรกจะฉีดให้เด็กอายุ 5-11 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค โดยต้องผ่านการพิจารณาจากกุมารแพทย์ ส่วนล็อตถัดไป สำหรับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกจังหวัด แบ่งฉีดตามสัดส่วนนักเรียน และสำรองกรณีระบาดในพื้นที่ ซึ่งจะฉีดในสถานพยาบาล หรือเด็กที่เรียนหนังสือที่บ้าน (Homeschool) ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยไทม์ไลน์ หรือตารางเวลาเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ในเด็กอายุ 5 ปี ไม่เกิน 12 ปี คาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เข็มที่ 2 วันที่ 26 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป โดยมีตัวเลขเด็กนักเรียนอายุ 5-12 ปีที่เข้าข่ายได้รับการฉีดวัคซีน 5.2 ล้านคน
ปลัดสธ.พบนายกฯรายงานสถานการณ์
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เดินทางเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ผอ.ศบค.) ใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที จากนั้น นพ.เกียรติภูมิกล่าวสั้นๆว่า เข้าพบนายกฯ เพื่อรายงานสถานการณ์ระบาดในพื้นที่ กทม.ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่อนคลายมาตรการไปแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขให้มากขึ้น ทั้งนี้ นายกฯกำชับว่าขอให้ควบคุมสถานการณ์ให้ดี
กทม.-ปริมณฑล-8จว.สีฟ้าติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านั้น ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทยว่า พบแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกทม.วันนี้พบ 1,630 ราย , ปริมณฑลอย่าง จ.นนทบุรี ปทุมธานี รวมถึงกลุ่ม 8 จังหวัดนำร่องท่องเที่ยว (พื้นที่สีฟ้า) ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนจังหวัดอื่นยังทรงตัว เช่น ชลบุรีแนวโน้มลดลง ภูเก็ตยังทรงตัว ดังนั้น สธ.จึงแจ้งเตือนภัยโควิดและการปฏิบัติตัวของประชาชนยังอยู่ระดับ 4 โดยขอให้งดเข้าสถานที่เสี่ยง งดร่วมกิจกรรมเป็นเวลานาน และชะลอการเดินทางที่ไม่จำเป็น
คงเตือนภัยระดับ4-ย้ำเข้มมาตรการ
“เราชะลอการระบาดได้ตั้งแต่ต้นปี แต่ตอนนี้บางจังหวัดดีขึ้นบางจังหวัดก็เพิ่มมากขึ้น จึงยังเตือนภัยที่ระดับ 4 ทั้งหมด แต่อยากเตือนโดยเฉพาะกทม. ปริมณฑลและ 8 จังหวัดนำร่องท่องเที่ยว ขอให้เคร่งครัดมาตรการมากขึ้น เพราะมีสัญญาณระบาดมากขึ้น” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
ช่วงมค.เป็นเชื้อโอมิครอน87%
และว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รายงานการติดเชื้อโควิดช่วงต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมา พบ เป็นสายพันธุ์โอมิครอนประมาณ 87% โดยเฉพาะที่มาจากต่างประเทศเป็นโอมิครอนเกือบ 100% นอกจากนี้ ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนและติดเชื้อซ้ำพบว่า เป็นโอมิครอน 100% ส่วนผู้รับวัคซีนครบแล้ว ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นโอมิครอน แต่อาการไม่รุนแรง ดังนั้น การฉีดวัคซีน 2 เข็ม ป้องกันติดเชื้อไม่ค่อยได้ แต่ป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตชัดเจน จึงต้องมีภูมิให้มากเพียงพอ จึงต้องฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ซึ่งขณะนี้ไทยฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 112 ล้านโดส เข็มแรกครอบคลุม 72.1% เข็มสอง 67% และเข็มสาม 15.8% การฉีดวัคซีนแต่ละวันเป็นเข็ม 3 มากที่สุดประมาณ 70%
คนอายุ70ปีขึ้นเสี่ยงติดเชื้อดับกว่า2เท่า
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับวันนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด 13 ราย อยู่ในกลุ่ม 607 ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งกรมควบคุมโรคทำลักษณะการระบาดวิทยา พบว่า ผู้เสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่มกราคม 2564จำนวน 289 ราย พบว่า เป็นผู้สูงอายุเกิน 70 ปี 159 คน ช่วงอายุ 60-69 ปี 58 คน ช่วงอายุ 50-59 ปี 33 คน ส่วนกลุ่มอายุน้อยเสียชีวิตน้อย การเสียชีวิตจึงแปรผันตามช่วงอายุ เพราะคนอายุมากมีโรคประจำตัวมาก ยิ่งอายุมากจึงยิ่งเสี่ยงเสียชีวิตกว่าคนอายุน้อย โดยกลุ่มอายุต่ำกว่า 40 ปีลงไป การเสียชีวิตจำนวนแทบไม่แตกต่างกันมาก แต่ถ้าอายุ 70 ปีขึ้นไปพบว่าเสียชีวิตมากกว่าอายุ 60-69 ปีถึงครึ่งหนึ่ง หรือเสี่ยงอันตรายกว่า 2 เท่า กลุ่มนี้ต้องรับวัคซีนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะฉีดเข็ม 3 หรือเข็ม 4 ในบางราย
ย้ำตั้งการ์ดสูงสุดชะลอยอดติดเชื้อ
“แม้โอมิครอนไม่รุนแรง แต่อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตในผู้สูงอายุได้ การฉีดเข็มกระตุ้นจึงจำเป็นมากในกลุ่ม 607 แม้เป็นผู้ป่วยติดเตียงที่เสี่ยงติดเชื้อจากภายนอกน้อย ก็มีโอกาสรับเชื้อจากลูกหลาน คนที่ไปเยี่ยม เพราะเชื้อโรคมองไม่เห็น และติดเชื้อไม่ค่อยมีอาการ เวลาไปเยี่ยมผู้ใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้ชิด ก็ทำให้สูงอายุติดเตียงมีโรคประจำตัว เกิดติดเชื้อได้ จึงอยากให้ระวังป้องกัน” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงปัจจัยที่ทำให้ กทม.ติดเชื้อสูงขึ้น นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า กทม.ประชากรมาก เป็นพื้นที่สีฟ้าผ่อนปรนให้เคลื่อนที่ เปิดร้านอาหาร ดื่มสุราต่างๆ แต่ที่ผ่านมาคุมได้ดีมาตลอด แต่ช่วงนี้ดูขึ้นมา ก็ต้องตั้งการ์ด ดีกว่าติดเชื้อขึ้นมา 5 วันแล้วค่อยตั้งการ์ด ขอให้ยังต้องระมัดระวังอย่างเข้มข้น
ถามว่าผ่านจุดสูงสุดของการระบาดรอบนี้แล้วหรือยัง นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า เราใช้มาตรการเข้มข้นมาชะลอติดเชื้อ จุดสูงสุดน่าจะยังไม่ถึง เพราะน้ำไหลมาเราก็กั้นไว้ อย่างฉากทัศน์ที่เราคาดการณ์ไว้ช่วงแรกก็ไต่ตามเส้นสีเทา แต่ตอนนี้ผ่านเส้นสีเทาและสีแดงแล้ว กำลังมาสู่เส้นสีเขียว ก็ต้องพยายามไม่ให้การติดเชื้อขึ้นไปถึงจุดพีคของเส้นสีเขียว
ย้ำร้านอาหารกึ่งผับทำโควิดลาม
ส่วนมาตรการสำหรับผับบาร์คาราโอเกะ นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ก็พิสูจน์แล้วว่าพื้นที่ปิดทำให้เกิดการระบาด อย่างการติดเชื้อโอมิครอนจำนวนมากครั้งใหญ่ก็เกิดในร้านอาหารกึ่งผับ ที่ไม่เคร่งครัดทำให้ระบาด ก็อาจถือเป็นต้นเหตุของการระบาดครั้งนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนนั้น เราเน้นการใช้ชีวิตประจำวันช่วงกลางมากกว่าการจับจ่ายใช้สอย รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย เดินทางติดต่อเป็นสำคัญ เราพยายามผ่อนปรนให้ส่วนใหญ่เดินทางได้ อย่างร้านอาหารตอนนี้มีร้องเพลงดนตรีได้ ผ่อนคลายระดับหนึ่ง แต่ต้องมีระยะห่าง 2-3 เมตร เราประเมินตลอด หากพบการฝ่าฝืนเราก็ทำ Target Lockdown ปิดเฉพาะที่ทำไม่ได้ตามมาตรฐาน แต่อย่างสถานบันเทิงที่ปรับเป็นร้านอาหารแล้วทำได้ตามมาตรฐาน หลายแห่งทำดีก็ทำต่อไปได้
เจอโอมิครอนทุกจว.-สะสม10,721คน
ด้านนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ว่า จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดที่ระบาดในประเทศไทย วันนี้ไม่มีจังหวัดไหนที่ไม่เจอเชื้อโอมิครอน พบแล้วทุกพื้นที่ ถ้าดูภาพรวมเจอผู้ติดเชื้อโอมิครอน 10,721 ราย จังหวัดที่ติดเชื้อสูงสุดคือ กทม. ชลบุรี ภูเก็ต สมุทรปราการเพิ่มขึ้น เชียงใหม่เพิ่มขึ้น 200 กว่าราย และเป็นการติดเชื้อในพื้นที่กว่า 100 ราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เชื้อในปท.เป็นโอมิครอน85%
“ข้อมูลวันที่ 11-17 มกราคม ภาพรวมประมาณ 87% แต่เฉพาะคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 97% จาก 1,437 ตัวอย่าง ขณะที่ในประเทศตรวจ 2,274 ตัวอย่าง พบเป็นโอมิครอน 80% เดลตา 20 % เป็นสัดส่วนที่น่าจะใกล้ความเป็นจริงในภาพรวมของประเทศ” นพ.ศุภกิจ กล่าว และว่า สำหรับการตรวจสายพันธุ์ย่อยในไทย กลุ่มคนทั่วไปวันนี้สัดส่วนที่เจอโอมิครอน 85% เดลตา 15 % แต่มีเดลตาสูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มติดเชื้ออาการรุนแรง หรือเสียชีวิต พบประมาณ 33% หรือ 2 เท่าของกลุ่มแรก เป็นเครื่องยืนยันว่าสายพันธุ์โอมิครอนรุนแรงน้อยกว่าเดลตาแน่นอน
เฉพาะมาจากตปท.ติดโอมิครอน97%
สำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศวันนี้ 97% ติดเชื้อโอมิครอน ดังนั้น คนที่ตรวจพบผลบวกเชื่อได้เลยว่าเป็นโอมิครอนเกือบทั้งหมด ส่วนกลุ่มในประเทศก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สัปดาห์ที่ผ่านมา จะตรวจกลุ่มเดินทางมาจากต่างประเทศ และเดินทางผ่านชายแดนเข้ามาทุกราย ด้วยวิธี RT-PCR และจำนวนหนึ่งจะส่งมาถอดรหัสพันธุ์กรรมทั้งตัวโดยสุ่ม 140 ตัวอย่างต่อศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 15 แห่งทั่วประเทศ และครึ่งหนึ่งจะถอดรหัสพันธุ์กรรมทั้งตัว ส่วนกลุ่มอื่น เช่น สุ่มตรวจภาพรวมจากผลบวกแต่ละวัน คลัสเตอร์ระบาด กลุ่มได้วัคซีนแล้ว และกลุ่มมีอาการเสียชีวิต บุคลากรแพทย์ คนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ติดเชื้อมีภูมิยังติดโอมิครอนได้
นพ.ศุภกิจกล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มวัคซีนครบถ้วน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มฉีด 2 เข็ม พบเชื้อเดลตาพอสมควร บุคลากรแพทย์ 25% เป็นเดลตา และที่น่าสนใจ 8 รายที่ติดเชื้อซ้ำ พบว่าติดเป็นโอมิครอน 100% จากเดิมคนที่ติดเชื้อเดิมเป็นเดลตาจะมีภูมิสูง จะไม่ติดเดลตา แต่ยังสามารถติดเชื้อซ้ำป็นโอมิครอนได้ สะท้อนว่าภูมิเดิมที่มีต่อเชื้อเดิมป้องกันเชื้อโอมิครอนไม่ได้ ในเชิงพื้นที่ตามเขตสุขภาพ หลายเขตขึ้นไป 70-80% ที่เพิ่มมากคือ เขตฯ 4,6,7 ขึ้นไปเกือบ 90% และเขตฯ 13 กทม. 86% ส่วนใหญ่เป็นโอมิครอนที่เหลือลดลง แต่น่าสังเกตคือ เขตฯ 12 หรือชายแดนใต้ ครึ่งหนึ่งเป็นเดลต้า ดังนั้น พื้นที่นี้มีลักษณะชุมชนแตกต่างจากที่อื่น เช่น ไม่มีสถานบันเทิง และไม่มีการรั่วมาจากมาเลเซีย คนมาจากต่างประเทศก็ไม่ได้ไปในพื้นที่มากมาย ทำให้ครึ่งหนึ่งเป็นเดลตา แต่ในที่สุดจะถูกแทนที่ด้วยโอมิครอนอยู่ดี
สิ้นมค.ในปท.เดลตาหายหมด
“จากข้อมูลดังกล่าวสรุปว่า โอมิครอนระบาดเร็ว คนที่มาจากต่างประเท 97% เป็นโอมิครอน ดังนั้นจากนี้อาจไม่ต้องตรวจสายพันธุ์แล้ว แต่ให้สันนิษฐานเลยว่าเป็นโอมิครอน ส่วนในประเทศโอมิครอน 80% เดลตา 20% ส่วนผู้เสียชีวิต ยังเกิดจากเดลตาเกินค่าเฉลี่ย ดังนั้น อย่าสันนิษฐานว่าติดเชื้อตอนนี้เป็นโอมิครอนแล้วอาการไม่รุนแรง แต่แท้จริงอาจเป็นเดลตาแทนก็ได้ กลุ่มที่ติดเชื้อซ้ำเกิดจากโอมิครอน เพราะโอมิครอนหลบวัคซีนได้ วัคซีน 2 เข็มอาจไม่พอป้องกันติดเชื้อ คาดว่าสิ้นเดือนมกราคมนี้ในประเทศจะเป็นโอมิครอนเท่ากับคนเดินทางมาจากต่างประเทศ และเดลตาจะหายไปทั้งหมด” นพ.ศุภกิจ กล่าว และว่า ดังนั้นเรายังต้องอยู่กับโอมิครอนถ้าเขาไม่รุนแรงมาก ทุกอย่างอาจง่ายขึ้นในการดำเนินการ และยังสนับสนุนฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไม่ว่าสูตรไหน ลดการระบาดของโอมิครอน ลดอาการหนักและเสียชีวิตได้
สธ.เดินหน้าแผนทำให้เป็นโรคประจำถิ่น
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า แม้สธ.ไม่ได้ประกาศลดระดับเตือนภัยโควิดยังคงไว้ที่ระดับ 4 เหมือนเดิม และเน้นให้เคร่งครัดปฏิบัติตามมาตรการแต่ละพื้นที่สีทั้งสีส้ม สีฟ้า ทั้งนี้ สัดส่วนผู้ติดเชื้อจะพบว่าโอไมครอนติดง่าย แต่เสียชีวิตไม่มาก เพราะเชื้ออ่อนลง แต่แพร่รวดเร็วติดง่าย จึงคาดว่าปัจจุบันโอไมครอนเข้ามาเป็นสายพันธุ์เด่นของไทยแล้ว ซึ่งแผนด้านสาธารณสุขจากนี้ก็เหมือนกันทั่วโลกที่ปฏิบัติคือ ทำให้อยู่ร่วมกับโอไมครอนได้ จึงผ่อนคลายมาตรการ ให้ทุกคนใช้ชีวิตได้ปกติ และเข้าสู่แผนเป็นโรคประจำถิ่น หากมองด้านบวกและไม่มีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง โอกาสที่โอไมครอนจะเป็นโรคประจำถิ่นก็เป็นได้ หากไม่กลายพันธุ์เพิ่ม นอกจากนี้ ต้องดูจากปัจจัยเชื้ออ่อนลงคนมีภูมิคุ้มกันและสิ่งแวดล้อมดี ดังนั้น ประมาทไม่ได้ ต้องเคร่งครัดมาตรการสาธารณสุข
กทม.ติดเชื้อหลักพันวันที่2สธ.รับไหว
สำหรับการรับวัคซีนตอนนี้ นพ.โอภาสระบุว่า คนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว สำหรับอัตราป่วยพบว่า มีอาการไม่รุนแรง ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก คนป่วยติดเชื้อ จึงเลือกใช้ระบบกักรักษาตัวที่บ้าน (HI) ทำให้เตียงเหลือง แดง มีเหลือเพียงพอ ส่วนการติดเชื้อใน กทม.ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 1,000 คน เป็นวันที่ 2 พบว่าจำนวนเตียงยังมีพอเช่นกัน ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาภาระงานสาธารณสุขที่หนักเกินไปสำหรับบุคลากรทางการแพทย์เหมือนในอดีต
นายกฯสั่งพณ.เช็คราคาสินค้าแก้กักตุน
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.)ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ หลังประชุม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า ที่ประชุม ศบศ.พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย การส่งเสริมการลงทุนในกิจการคลาวด์เซอร์วิสและธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ พร้อมรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุดและความคืบหน้าการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ทั้งนี้ นายกฯระบุว่า จากสถานการณ์โลก และในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกับคนมีรายได้น้อย เรื่องราคาสินค้า ซึ่งสั่งการชัดเจนให้กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบราคาสินค้าทุกจังหวัด เหตุผลที่สินค้าบางรายการมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นายกฯยืนยันจะดูแลเรื่องนี้อย่างละเอียด และต้องลงโทษทั้งกักตุนสินค้า ผู้เกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษ และฝากภาคธุรกิจเอกชนช่วยดูเรื่องนี้ให้มากที่สุด
ศบศ.ไฟเขียวท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบศ. เห็นชอบหลักการแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Thailand Wellness Sandbox ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เสนอ เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งใหม่ โดยปรับภาพลักษณ์หัวหินและชะอำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแห่งใหม่ของประเทศ ควบคู่กับพัฒนาการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก ภายใต้โครงการ Thailand Riviera ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่ประชุมมอบให้ททท. พิจารณาพื้นที่นำร่องในภูมิภาคอื่นที่มีศักยภาพ โดยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแผนระยะต่อไป
นายกฯปลุกทุกคนไม่ยอมแพ้ปัญหา
“ในตอนท้าย นายกฯยังกล่าวเป็นกำลังใจทุกคนที่ร่วมทำงาน ต้องไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาอุปสรรคเช่นเดียวกับนายกฯที่ไม่เคยยอมแพ้ ทำงานเพื่อชาติและประชาชน ทุกคนกำลังทำภารกิจสำคัญให้ประเทศชาติ และขอประกาศปี 2565 เป็นปีแห่งการประเมินผล ชี้วัด ทุกหน่วยงานต้องทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยนายกรัฐมนตรีต้องการทำให้งานสำเร็จด้วยความรักและความสามัคคี”นายธนกรระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี