ทุบสถิติอีกติดโควิดพุ่ง17,349คน
‘อนุทิน’ยันรับมือได้
โคม่า728ราย-ตาย22กลุ่มเสี่ยงสูง
กทม.ทะลุ3พันระบาดในบ้าน
บิ๊กตู่ห่วงบุคลากรแพทย์ป่วย
ย้ำยึดมาตรการป้องกันสูงสุด
เร่งฉีดวัคซีนให้นักเรียนทุกวัย
ติดเชื้อโควิดทุบสถิติรายวันต่อเนื่อง วันเดียว 17,349 รายอาการหนัก 728 คน ตาย 22 ศพ เป็นกลุ่มเสี่ยง 91% กทม.แรงไม่ตกทะลุ 3 พันอีกวัน สธ.ยันใส่แมสเสี่ยงต่ำมากติดโควิด แจงป่วยโอมิครอนพันธุ์ไหนก็รักษาป้องกันวิธีเดิม ย้ำประชาชนป้องกันตัวครอบจักรวาล “อนุทิน” ชี้ยอดผู้ป่วยเพิ่มแต่เป็นไปตามคาดการณ์ ยันรับมือได้ ลั่นปูพรมฉีดวัคซีนครบโดส และเข็มกระตุ้นวอนผู้ปกครองพาเด็กไปฉีดวัคซีน ลั่นวัคซีนเด็กได้มาตรฐาน ฮึ่มอย่าด้อยค่าซิโนแวค จีนคนพันล้านฉีดไม่มีปัญหา สธ.เดินหน้าปลดโควิดพ้นยูแซป แต่เล็งจัดทำยูแซปพลัส รองรับคนติดโควิดมีโรคร่วม-กลุ่มอาการวิกฤต นายกฯห่วงบุคลากรแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม
เมื่อวันที่ 17กุมภาพันธ์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ประจำวัน ที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทำสถิติใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่มีการระบาดระลอกเดือนมกราคม 2565
ติดเชื้อทุบสถิติ17,349-โคมา728คน
โดยศบค.ระบุว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 17,349 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 16,935 รายและติดเชื้อจากต่างประเทศ 245 ราย แบ่งเป็นเข้าประเทศผ่านระบบเทสต์ แอนด์ โก 97 ราย แซนด์บ็อก 109 ราย ระบบกักตัว 34 ราย ลักลอบ 5 รายและจากเรือนจำ 169 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จำนวน 432,976 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 840 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.19 ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อหายป่วยวันนี้ 11,561 ราย รวมหายป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 321,318 รายและกำลังรักษาตัวอยู่ที่ 144,061 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการหนัก 728 รายและที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 163 ราย
ตาย22เป็นกลุ่มเสี่ยงเกือบทั้งหมด
สำหรับผู้เสียชีวิตวันนี้มี 22 ราย เป็นประชากรกลุ่ม 608 หรือประชากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ร้อยละ 91 โดยแบ่งเป็นกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี 20 ราย คิดเป็นร้อยละ 91 และประชากรผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี แต่มีโรคเรื้อรังอีก 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.5 และไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.5 ทั้งนี้ เป็นผู้เสียชีวิตที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร 2 ราย สมุทรปราการ 1 ราย ร้อยเอ็ด 3 ราย ขอนแก่น 1 ราย นครราชสีมา 1 ราย มหาสารคาม 1 ราย ศรีสะเกษ 2 ราย อุบลราชธานี 1 ราย เชียงราย 1 ราย สุราษฎร์ธานี 2 ราย ชุมพร 1 ราย ชลบุรี 1 ราย ประจวบคีรีขันธ์ 1 ราย สมุทรสงคราม 1 ราย สระแก้ว 1 ราย สระบุรี 1 ราย สุพรรณบุรี 1 ราย และราชบุรี 1 ราย
กทม.ทะลุ3พัน-ฉีดวัคซีน120.7ล.โดส
ด้านสถานการณ์ติดเชื้อในประเทศ แบ่งตามจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พบผู้ติดเชื้อ 3,063 ราย สมุทรปราการ 866 ราย ชลบุรี 821 ราย นครศรีธรรมราช 743 ราย ภูเก็ต 510 ราย นนทบุรี 423 ราย นครราชสีมา 415 ราย สมุทรสาคร 414 ราย ปทุมธานี 395 รายและบุรีรัมย์ 339 ราย
สำหรับผลการให้บริการวัคซีน ข้อมูลเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เวลา 18.00 น. ประเทศไทยฉีดวัคซีนให้ประชาชนเพิ่มขึ้น 182,122 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 34,995 ราย สะสมรวม 52,911,072 ราย คิดเป็นร้อยละ 76.1 ของจำนวนประชากรทั้งหมด เข็มที่ 2 จำนวน 23,674 ราย สะสมรวม 49,323,928 ราย คิดเป็นร้อยละ 70.9 ของจำนวนประชากรทั้งหมด และเข็มที่ 3 จำนวน 123,453 ราย สะสมรวม 18,467,893 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.6 ของจำนวนประชากรทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 120,702,893 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564
ยันใส่แมสป้องกันติดเชื้อได้
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ที่ผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องว่า ไม่อยากให้ประชาชนกังวลกับสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน ไม่ว่าจะเป็น BA.1 หรือ BA.2 เนื่องจากการป้องกัน การรักษายังเหมือนเดิม ยังต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และมีระยะห่าง ขณะที่การรับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือ เข็มที่ 3 ยังจำเป็น เพราะสายพันธุ์ BA.2 แพร่เร็วขึ้น แต่ความรุนแรงและการหลบภูมิคุ้มกัน ยังไม่ต่างจาก BA.1 ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกยังไม่ได้จัดให้เป็นสายพันธุ์ใหม่ หรือต้องเฝ้าระวัง ขณะเดียวกัน สธ. กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมการแพทย์ ยังติดตามข้อมูลต่อเนื่อง จึงไม่อยากให้ประชาชนกังวล คาดว่าความวิตกกังวลของประชาชนขณะนี้เกิดจากข้อมูลที่มากล้น ยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันโรคได้ดี แม้ว่าโรคนี้จะติดง่าย หรือสายพันธุ์ไหนก็ตาม เชื้อไวรัสทะลุหน้ากากไม่ได้ ส่วนที่มีคนตั้งคำถามแค่พูดคุยกันไม่นาน เพียง 15 นาที ทำไมถึงติดเชื้อ ยืนยันว่าหากสวมหน้ากากไม่ต้องกังวล เพราะถือว่าความเสี่ยงต่ำ
โคมา-ใส่ท่อหายใจไม่เพิ่ม-ตายลด
อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวต่อว่า ขณะนี้อัตราป่วยหนักและใส่ท่อช่วยหายใจ ยังไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ตรงกันข้ามอัตราตายของไทยต่ำกว่าต้นมกราคมที่ผ่านมา จากเดิม ร้อย 0.22 เหลือ ร้อย 0.20 และถือว่าน้อยกว่าทั่วโลกที่เดิมอยู่ที่ ร้อย 2.2 ขณะนี้เหลือ ร้อยละ 1.4 แต่คนเสียชีวิตส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุ จึงอยากเชิญชวนให้ไปรับวัคซีน ขณะเดียวกัน บ้านคนหนุ่มสาวที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ด้วยขอให้ระวังตนเองให้ดี เพื่อป้องกันคนในบ้านได้รับเชื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่สาเหตุการติดเชื้อในผู้สูงอายุรับเชื้อจากคนในครอบครัว
ติดโควิดพุ่งตามคาดการณ์ยันรับมือได้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่สูงขึ้นว่า ตัวเลขที่สูงขึ้นอยู่ในกรอบที่กรมควบคุมโรค คาดการณ์ไว้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ แต่บริบทที่ต่างกันช่วงนี้เราฉีดวัคซีนและยาเข้าถึงประชาชน และโชคดีที่สายพันธุ์โอมิครอนติดง่าย แต่ไม่รุนแรง จึงใช้องคาพยพที่เรามีอยู่ดูแลและประคองไม่ให้เกิดความรุนแรง ส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงอยู่ในเส้นกราฟน้อยอยู่ ส่วนผู้เสียชีวิตก็ตรวจสอบตลอดเพราะไม่ให้เกิดการเสียชีวิต จากรายงานกรมควบคุมโรคคนที่เสียชีวิตร้อยละ90 คือ ไม่ฉีดวัคซีนและกลุ่มเสี่ยงสูง เราจึงอยากขอให้คนออกมาฉีดวัคซีนกันมากๆ เพราะวัคซีนร้อยล้านโดสแล้ว ยืนยันว่าวัคซีนทุกชนิดได้มาตรฐานและรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว
ย้ำป้องกันตัวครอบจักรวาลลดเสี่ยงได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนจะใช้ชีวิตปกติได้เมื่อไหร่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราใช้ชีวิตปกติแบบดูแลตัวเองแบบครอบจักรวาล ออกจากบ้านใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นเรื่องปกติ หลีกเลี่ยงงานปาร์ตี้ คนมารวมกันหมู่มาก เพราะไม่ทราบว่าคนเหล่านี้มาจากที่ไหน ถ้าเราปฏิบัติตามโอกาสติดจะน้อยมาก
“ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นก็อยู่ในกรุงเทพมหานคร ติดจากในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม โอมิครอนมีความรุนแรงน้อยจากสายพันธุ์อื่นที่ผ่านมา หากเราฉีดวัคซีนป้องกันเข็มกระตุ้นให้มากที่สุด ก็จะช่วยประคองสถานการณ์ได้ อัตราผู้ติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตอยู่ในเกณฑ์ที่เราควบคุมได้ ทั้งนี้ ข้อมูลผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอีก 2 ล้านคน ก็ขอฝากลูกหลานพาไปรับวัคซีนเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ขณะนี้ เราฉีดวัคซีนเกิน 120 ล้านโดสแล้ว ก็ยังไม่เกิดเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกินที่เรารับได้”นายอนุทินกล่าว
อัดวัคซีนฉีดเด็กสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
ส่วนที่เกิดการระบาดในโรงเรียนจนกลายเป็นคลัสเตอร์จำนวนมากขึ้น สธ.เตรียมเตียงไว้เพียงพอหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราพึ่งเปิดเรียน และวัคซีนสำหรับเด็กก็พึ่งเข้ามาต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นล็อตๆ เราก็จะอัดเข้าไปโรงเรียน เหตุการณ์เหมือนปีที่แล้วเมื่อวัคซีนกระจายได้ฉีดเต็มที่จะเกิดภูมิคุ้มกันในตัวเด็ก และ เด็กก็จะไม่แพร่เชื้อในครอบครัว ต้องใช้เวลาสร้างภูมิคุ้มกัน แต่แพทย์ระบุว่าคนอายุน้อยเมื่อติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรง ถ้าไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ฉะนั้นเราต้องฉีดวัคซีนมากที่สุด และ ผู้ปกครองอย่ากลัวการฉีดวัคซีน กว่าที่กระทรวงสาธารณสุขจะตัดสินใจฉีดให้เด็ก เรามีข้อมูลวิชาการหารือกันอย่างเข้มข้นหลายรอบก่อนตัดสินใจขอให้มั่นใจ
ลั่นอย่าเชื่อคนด้อยค่าซิโนแวค
“วัคซีนเด็ก ขณะนี้มีทั้งไฟเซอร์และซิโนแวค อย่าไปเชื่อคนที่ด้อยค่าว่าซิโนแวคฉีดเด็กไม่ได้ เพราะคนจีนทั้งประเทศเกือบ 2 พันล้านคน ไม่เคยเกิดปัญหาการติดเชื้อและเสียชีวิตโดยไม่มีวัคซีนยี่ห้ออื่น ฉะนั้น เป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่าวัคซีนเวิร์ก ที่สำคัญไทยเราโชคดีมีวัคซีนทุกตระกูลหลัก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีเอกสารอ้างอิงความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ จึงอนุมัติขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้ คนที่พูดลอยๆว่าวัคซีนนั้นดี ไม่ดี ไม่มีเอกสารอ้างอิง อ่านหนังสือมาแล้วมาพูด เราต้องพึ่งวิชาการ”นายอนุทินกล่าว และว่า ส่วนกรณีมีการติดเชื้อที่จ.เชียงใหม่เพิ่มขึ้น แต่ประชาชนไม่สามารถติดต่อเข้ารักษาได้นั้น ได้มอบให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปดูแลระบบแล้ว ขอให้ประชาชนที่ไม่มีอาการเข้ารักษาที่บ้าน (Home Isolation) สิ่งนี้ช่วยให้ระบบสาธารณสุขเราอยู่ได้
สธ.เล็งจัดทำยูเซปพลัสรับติดโควิด
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงการเตรียมจัดทำโครงการยูเซปพลัสว่า ไม่ได้ปรับออกจากโครงการสิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือ ยูเซป แต่มีการปรับปรุงวิธีการให้บริการตามอาการของผู้ที่ป่วยโควิด เพราะตอนนี้เราอยู่กับโรคมา 2 ปีกว่า ๆ แล้ว พยายามจัดระบบบริการเพื่อรองรับได้ เพราะยังมีโรคอื่นๆ อีกมากที่รอใช้บริการทางการแพทย์ รอการรักษาในรพ. ถ้าไปเน้นว่าโควิดฉุกเฉิน ต้องแซงคิว มีอภิสิทธิ์เหนือโรคอื่นทุกอย่างทำให้ระบบสาธารณสุขรวน ดังนั้น ต้องปรับระบบให้บริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคในประเทศไทย ทั้งนี้ เราต้องทำให้ระบบพื้นฐานไม่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้ยกเลิกยูเซ็ปต์เด็ดขาด คนที่พูดว่ายกเลิกนั้นต้องขอให้ปรับความเข้าใจใหม่ หากมีอาการฉุกเฉินจริงๆ เช่น หายใจไม่ได้ เหนื่อยหอบ มีอาการไอรุนแรง ซึ่งมีเกณฑ์กำหนดอยู่ สามารถเข้ารักษาที่ไหนก็ได้ ขณะนี้ สธ.ประชุมหารือกำหนดยูเซ็ปต์พลัส โดยกลุ่มเสีเขียว ไม่มีอาการก็ทำ HI เหมือนเดิม ส่วนสีเหลือง สีแดงก็จะมีการให้การดูแล
ยันตัดโควิดออกจากโรคฉุกเฉิน
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโรคโควิด-19 สธ.พิจารณาแล้วจะไม่ได้เป็นโรคฉุกเฉินอีกต่อไป ที่ผ่านมาต้องกำหนดเป็นโรคฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นโรคใหม่และกังวลจะไม่มีที่รักษาพยาบาลและทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว แต่ปัจจุบันคนติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการก็เหมือนโรคหวัดทั่วไป ที่มีคนป่วยหลายแสนรายต่อวันก็ไม่มีปัญหา เช่นเดียวกัน ตอนนี้คนติดโควิดที่จำเป็นต้องนอนรพ.มีไม่มาก ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 700 คน จึงไม่น่าเป็นโรคฉุกเฉินอีกต่อไป
ในส่วนการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต รักษาทุกที่หรือUCEP ปัจจุบันมี 2 ส่วนคือ UCEP ทั่วไป และUCEP โควิด -19 ซึ่งสามารถไปรักษาที่รพ.เอกชนตอนไหน เวลาไหนก็ได้หากพบว่าติดโควิด เพราะเป็นเร่งด่วนฉุกเฉินทั้งหมด แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง การติดโควิดต้องไม่นำแล้ว แต่UCEP ยังมีอยู่ ถ้าคนไข้โควิดมีอาการรุนแรงถึงขนาด เช่น มีโรคร่วมที่เป็นอันตรายรุนแรง อาทิ ผู้ป่วยไตเรื้อรังที่ติดโควิด19 แม้ว่าโควิดไม่รุนแรงมาก แต่โรคไตรุนแรง ก็จะพิจารณาให้เข้าข่ายเป็น UCEP โควิด - 19 เพื่อให้ได้รับการดูแลเพราะการดุแลไม่ใช่ดูแลแบบโรคไต แต่เป็นการดูแลแบบโควิด-19 เมื่อต้องเข้ารักษาในรพ.ก็ต้องเข้าอยู่ในขอบข่ายของโควิด-19 แม้โรคโควิดจะไม่ได้รุนแรง
ยูเซปพลัสรองรับคนติดโควิดมีโรคร่วม
“จึงมีแนวคิดจัดทำUCEP พลัส คือรองรับคนติดโควิด19และมีโรคร่วมเดิม แม้ว่าโควิด19จะไม่รุนแรง ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) จะหารือร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) เพื่อพิจารณาเกณฑ์ที่เข้าข่ายรักษาแบบ UCEP พลัส แต่หลักการคือ คนที่ติดโควิดและมีโรคร่วมเดิม จากนี้จะกำหนดนิยามผู้เข้าข่ายจะเป็นผู้ที่โรคร่วมเดิมอะไรบ้างอยู่ที่ข้อสรุปของการหารือ”นพ.เกียรติภูมิกล่าว และว่า สำหรับคนทั่วไปที่ติดโควิด จากเดิมไปรักษาที่รพ.เอกชนใดก็ได้ ปรับเป็นไปรักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิที่มี ถ้าอาการไม่มากหรือไม่มีอาการ รพ.จะพิจารณาให้ดูแลตนเองที่บ้านหรือHI แต่หากไม่สะดวกและไม่สามารถที่จะอยู่ที่บ้านได้ จะมีระบบดูแลที่โรงแรม(Hotel Isolation) โดยมีบุคลากรติดตามอาการทางระบบออนไลน์ได้ แต่ไม่ใช่ฮอสปิเทล
นายกฯห่วงบุคลากรแพทย์หลังติดเชื้อพุ่ง
ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ฝากความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ หลังพบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด-19 ถึง 156 คน สูงที่สุดตั้งแต่มีการระบาดมา จึงขอให้บุคลากรแพทย์ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ระวังป้องกันตนเองให้ดีระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตระหนักตลอดเวลาว่า แพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและดูแลรักษาประชาชน นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนเร่งเข้ารับบริการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์และเข้ารับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อโควิดและสามารถลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ นายกฯยังกำชับกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบ โดยเฉพาะการระบาดในกลุ่มชุมชนและโรงเรียน ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด การฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนทุกวัย และการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมได้มากที่สุด จึงมีความสำคัญ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความเสี่ยงการระบาดลงได้
สั่งจับตาป่วยพันธุ์ผสมเดลตาครอน
นายธนกรกล่าวต่อว่า นายกฯยังย้ำให้ติดตามกระแสข่าวการพบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์ผสมระหว่างเดลตาและโอไมครอน หรือเดลตาครอน รายแรกของโลกที่อังกฤษ แม้ยังไม่ทราบความรุนแรงจะมากกว่าเดิมหรือไม่ แต่ต้องติดตามใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทันสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเชื่อมั่นระบบและมาตรการด้านสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพและมีความเข้มแข็งสามารถรับมือการระบาดได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี