11 มี.ค. 2565 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำข้อเสนอแนะ เรื่อง สิทธิและความปลอดภัยของคนเดินเท้า ในรูปแบบผสมผสานระหว่างที่ กสม. อาคารบี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ กับระบบออนไลน์โปรแกรมซูม โดย นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้เชี่ยวชาญในคณะที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก (WHO) ด้านการป้องกันการบาดเจ็บ กล่าวถึงเรื่องการตัดแต้มใบขับขี่ผู้ทำผิดกฎจราจร
และไม่ต่ออายุป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี หรือป้ายวงกลมกรณีที่ผู้ขับขี่ยังไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งให้ครบถ้วน ว่า ในทางหลักการเป็นเรื่องที่ดี และคาดหวังว่าจะช่วยควบคุมอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ซึ่งขณะนี้กำลังรอ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ลงนาม อย่างไรก็ตาม ตนทราบว่า การลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน หรือเอ็มโอยู เชื่อมฐานข้อมูลระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กับกรมการขนส่งทางบก เคยมีข้อเสนอถึง รมว.คมนาคม ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 แล้ว โดยขณะนั้น คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา ได้ไปตรวจเยี่ยมหน่วยงานทั้งตำรวจและขนส่งฯ
“เท่าที่ทราบรายงานอันนี้ตั้งแต่ปี 2563 แล้ว ถามว่าจะมีหลักประกันอะไรที่จะบอกว่าการเชื่อมฐานข้อมูลของ 2 หน่วยงาน จะเกิดขึ้นในเร็ววัน ถ้าไม่สังคมจะทำอย่างไร เพราะคนที่ได้รับใบสั่งทางไปรษณีย์ก็จะไปชำระค่าปรับเพียง 10% เหมือนเดิม หรือนับวันจะน้อยกว่าเดิม เพราะรู้ว่าได้รับใบสั่งไม่ต้องมาจ่ายก็ได้ อันนี้เป็นประเด็นของสังคมที่ค้างคาใจอยู่มาก เพราะเรื่องนี้มันคาอยู่บนโต๊ะรัฐมนตรีมาปีกว่า เกือบ 2 ปีแล้ว” นพ.วิทยา กล่าว
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ในฐานะคณะทำงานแก้ปัญหาจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ทุกๆ 1 ชั่วโมง ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉลี่ย 2.5 คน ซึ่งหากเทียบกับเครื่องบินขนาดใหญ่บรรทุกผู้โดยสารได้ 500 คนต่อเที่ยว จะเท่ากับทุกสัปดาห์ ประเทศไทยมีความสูญเสียเทียบเท่าเครื่องบินขนาดนี้ตก 1 ลำ หรือสัปดาห์ละ 500 คน หรือปีละ 2 หมื่นคน เป็นแบบนี้มาตลอด โดยที่ผ่านมา สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ทำได้เพียงไม่ให้จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นเท่านั้น ยังไม่สามารถทำให้ความสูญเสียลดลง
ทั้งนี้ จากการผลักดันตั้งแต่ปี 2559 ในที่สุดจึงมีการออก พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 ซึ่งสาระสำคัญคือนำระบบตัดแต้มผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนกฎจราจร ซึ่งผู้ที่ถูกตัดแต้มจนหมดจะถูกพักใช้ใบขับขี่ กลับมาใช้อีกครั้ง โดยระบบนี้เคยใช้มาแล้วในยุคที่ใบขับขี่เป็นกระดาษ เมื่อถูกจับกุมเจ้าหน้าที่จะใช้ปากกาทำเครื่องหมายหลังใบขับขี่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนใบขับขี่เป็นแบบพลาสติก ก็ไม่สามารถทำได้อีกเพราะเมื่อเขียนด้วยปากกาก็สามารถลบได้ หรือหากติดสติ๊กเกอร์ก็ยังพบการแกะสติ๊กเกอร์ออก
“เรารออยู่ 20 ปี จนระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มันมีต้นทุนที่ถูก เราสามารถทำให้ข้อมูลเป็นเอกภาพ สามารถใช้ได้ในประเทศไทยทั้งหมด กฎหมายออกแล้ว แต่ปัญหาคือฐานข้อมูลใบขับขี่และฐานข้อมูลรถยนต์ ตำรวจอยู่กับนายกรัฐมนตรี แต่กรมการขนส่งทางบกอยู่กับกระทรวงคมนาคม กฎหมายเลยบอกว่า ต้องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมกันลงนามเพื่อบังคับใช้ตัดคะแนนความประพฤติ ก็รอมา 3 ปีอยู่” พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 กล่าวต่อไปว่า ทาง สตช. เคยนำปัญหาและอุปสรรครายงานไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ ได้สั่งการไปยัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม จากนั้นได้มีการตั้งคณะทำงานขึ่นมาเพื่อเร่งรัดการดำเนินการ โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อัยการ มาร่วมหาทางออก
ซึ่งการประชุมครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. 2565 ที่ประชุมเห็นว่า มาตรการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ คือ 1.การตัดแต้มหรือคะแนนความประพฤติ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 กับ 2.การชะลอการจ่ายป้ายเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี ตาม คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 14/2560 ประกอบ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 141/1
โดยผู้ขับขี่ที่ถูกจับกุมฐานฝ่าฝืนกฎจราจรและได้รับใบสั่งจากตำรวจ แม้จะไปจ่ายภาษี และ พ.ร.บ. ของรถคันดังกล่าวได้ แต่หากยังมีใบสั่งที่ยังไม่ชำระค่าปรับให้เรียบร้อย กรมการขนส่งทางบกจะให้เวลา 30 วัน ไปชำระค่าปรับให้ครบถ้วน แล้วจึงมารับป้ายแสดงการชำระภาษีประจำปี หรือป้ายวงกลมได้ โดยระหว่าง 30 วันนั้นจะมีการออกป้ายชั่วคราวให้ใช้ไปก่อน ซึ่งหากพ้นกำหนด 30 วันไปแล้ว การนำรถคันดังกล่าวออกมาขับขี่ จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11 ที่ระบุว่า รถที่จตทะเบียนแล้วต้องติดเครื่องหมายตามที่กฎกระทรวงกำหนด
“คำถามเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูล ต้องเรียนอย่างนี้ว่า ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ เราประสานงานกัน 2 หน่วยค่อนข้างพร้อมแล้ว ปัญหามันมีอยู่นิดหนึ่งก็คือว่า กรมการขนส่งทางบกเขาเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ข้อตกลงใดที่กรมการขนส่งทางบกจะไปทำกับหน่วยงานอื่นต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวง เพราะฉะนั้นในเรื่องของการส่งถ่ายข้อมูล การตัดคะแนนความประพฤติ การชะลอการจ่ายป้ายเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี มันก็เลยจำเป็นต้องรอความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ระบุ
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ยังกล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบล่าสุดคือปลัดกระทรวงคมนาคม เสนอเรื่องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้วตั้งแต่เมื่อปลายเดือน ก.พ. 2565 ดังนั้นตนเชื่อว่าอีกไม่นาน คงมีการลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน หรือเอ็มโอยู พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และเชื่อว่าเมื่อมาตรการทางปกครองนี้มีผลบังคับใช้ สถานการณ์จะค้องดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตนยังมีเรื่องที่เป็นห่วง 2 เรื่อง คือ 1.ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่อยู่ประมาณ 10 ล้านคน โดยข้อมูลนี้อ้างอิงจาก บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งสาเหตุมาจากตามกฎหมาย พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 64 ระบุความผิดขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาต ไว้เพียงมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไมเกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้น จึงทำให้หลายคนอาจจะไม่ไปทำใบขับขี่ อาศัยว่าหากถูกจับกุมก็เพียงเสียค่าปรับแล้วก็ขับขี่ต่อไป ซึ่งคนเหล่านี้ไม่เคยเรียนรู้กฎจราจร ไม่เคยอบรมด้านความปลอดภัย และไม่เคยทดสอบว่ามีทักษะการควบคุมรถได้ปลอดภัยหรือไม่
กับ 2.จักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องได้รับการอบรมและสอบใบขับขี่พิเศษแยกจากใบขับขี่จักรยานยนต์ทั่วไป ในเบื้องต้นทราบว่า กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการเรื่องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77 เรียบร้อยแล้ว และกำลังส่งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณา ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอให้แก้ไข พ.ร.บ.รถยนต์ เรื่องนี้ตนขอให้เร่งรัดโดยเร็วเพื่อปกป้องสิทธิพลเมืองและคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี