รบ.เผยคุณภาพ‘ChulaCov19’
เทียบชั้น‘ไฟเซอร์’
ผลิตลอตแรกตีทะเบียนปลายปี
เร่งกระจายฉีดกลุ่มเสี่ยงให้ครบ
ตามยุทธศาสตร์สุขภาพนานาชาติ
ป่วยรวมATK18,917รายดับ58
ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 8,450 ราย ส่วน ATK เป็นบวก 10,467 ราย รวมเป็น18,917 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 58 ศพ รัฐบาลเผยความคืบหน้าวัคซีนโควิดสัญชาติไทย“ChulaCov19” ผลิตลอตแรกในประเทศได้แล้ว คาดขึ้นทะเบียนปลายปีนี้ สอดรับเป้าหมาย Medical Hub
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิดสัญชาติไทย “ChulaCov19” ชนิด mRNA โดยเมื่อ พ.ย. 2564 คณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบอนุมัติงบประมาณสนับสนุน 2,316 ล้านบาท ซึ่งทางศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้การผลิตอยู่ในขั้นการออกแบบวัคซีนและให้โรงงานในสหรัฐอเมริกาผลิต ซึ่งผ่านการทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 เรียบร้อยแล้ว มีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิได้สูงเป็นที่น่าพอใจ ขนาดที่เลือกเมื่อเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ที่อนุมัติใช้ในไทยได้ภูมิที่สูงกว่าชัดเจน
ส่วนระยะต่อไป จะเป็นการผลิตวัคซีนเองภายในประเทศ โดยบริษัท ไบโอเน็ตเอเชีย จำกัด ซึ่งผลิตวัคซีนล็อตแรกเรียบร้อยและผ่านการประกันคุณภาพแล้ว ทางทีมวิจัยได้ส่งเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก อย. หากผลทดสอบวัคซีนที่ผลิตเองในไทยได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าจะขึ้นทะเบียนวัคซีนได้ภายในปลายปี 2565
ตั้งเป้าผลิตวัคซีนในประเทศได้เอง
“รัฐบาลตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศสามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้เอง ตาม ‘ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2560 – 2569’ ซึ่งจะส่งผลถึงระดับภูมิภาค ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความมั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันเชื้อไวรัส ทั้งนี้เป้าหมายดังกล่าวได้กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการที่ไทยเป็น ‘ศูนย์กลาง’ การผลิตวัคซีนจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงวัคซีน และการระดมฉีดวัคซีนทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สามารถป้องกันการเสียชีวิตของคนไทย ช่วยลดการป่วยหนัก และการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งหมายความถึงการลดภาระระบบสาธารณสุขได้อีกมหาศาล” นางสาวรัชดา กล่าว
นายกฯยินดีไทยอันดับ4น่าเที่ยวที่สุดในโลก
ขณะที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีและขอบคุณที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกยังคิดถึงประเทศไทย จากการจัดอันดับจุดหมายที่น่าไปเยือนมากที่สุดในโลกหลังสิ้นสุดโควิด-19 ของ “วีซ่า (Visa)” ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นจุดหมายที่ 4 ในโลกที่นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาเยือนมากที่สุดหลังสถานการณ์ โควิด - 19
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลก (Visa Global Travel Intentions Study) ของวีซ่า ประเทศไทยถูกจัดเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอินเดีย ที่น่าเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกหลังโควิด-19 สิ้นสุดลง โดยเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมจากการค้นหาทางออนไลน์ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต เชียงใหม่ และหัวหิน ด้วยแรงจูงใจเพื่อการพักผ่อน การหลีกหนีความวุ่นวายและผ่อนคลาย และการผจญภัยและทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ชี้เป็นโอกาสดีเปิดรับนักท่องเที่ยว
ปัจจุบันมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทยมีการผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาประเทศไทย นอกจากไทยจะมีภูมิประเทศที่น่าสนใจ เป็นที่นิยม มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สวยงามทางวัฒนธรรม ชุมชนเมืองที่พร้อมด้วยภูมิปัญญาแห่งการเรียนรู้ ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายในหลายรูปแบบ เช่น ปีนหน้าผา เดินป่า ล่องแก่ง ดำน้ำ หรือการพักผ่อนริมชายหาด สิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งเป็นศูนย์รวมอาหารที่หลากหลายเป็นที่นิยม และการบริการที่น่าประทับใจ
นายธนกรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในการทำงานของทุกฝ่าย ขอบคุณทุกการผลักดันให้ประเทศไทยเข้าไปมีบทบาทในระดับโลกและรับความนิยมจากต่างชาติได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมบูรณาการการทำงานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวให้สะดวก ปลอดภัย ประทับใจการเยือนไทย และตอบโจทย์การมาเที่ยวประเทศไทยให้น่าจดจำ ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นว่าการทำงานของรัฐบาลซึ่งได้วางกรอบแนวทางตามสถานการณ์การควบคุมโรคจะช่วยให้สถานการณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัว จึงขอให้ทุกฝ่ายเตรียมการทำงานรับมือการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว พร้อมกำหนดมาตรการการทำงานให้สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย
รบ.เดินหน้าจัดกิจกรรมดึงนักท่องเที่ยว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบศ. ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธาน เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ได้เห็นชอบขยายระยะเวลาปีท่องเที่ยวไทยเพิ่มอีก 1 ปี เป็น 2565 – 2566 หรือ Visit Thailand Year 2022-2023: Amazing New Chapters หลังจากนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จะดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำเสนอประเทศไทและวัฒนธรรมไทยในมิติที่แตกต่าง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่งเสริมและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวตามนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ค. 2565 เป็นต้นมา
จัดนำร่องที่กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ กิจกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นในเมืองการท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยนำร่องที่กรุงเทพฯ ที่จะจัด 4 กิจกรรมภายใต้โครงการ Unfolding Bangkok ตามเทศกาลหรือวาระที่สำคัญของประเทศในช่วงเดือนมิ.ย.2565-ม.ค.2566 ตามแนวคิดการเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ททท. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบโครงการจะประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมกระจายในหลายพื้นที่ สร้างสีสันให้กับกรุงเทพฯ มีการลงทุนปรับปรุงโบสถ์และวิหารของวัดในมุมที่คนอาจยังไม่รู้จัก (Unseen) ให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว จัดกิจกรรมนำเสนอวัฒนธรรมไทยตามสมัยนิยมและศักยภาพสร้างสรรค์ของประเทศไทยในช่วงการประชุมเอเปค ในเดือนพ.ค. 2565 โดยการสนับสนุนให้มีการใช้ศักยภาพคนรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์งานในกิจกรรมต่างๆ
“ททท. ได้ตั้งเป้าหมายการจัดกิจกรรมว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยได้วันละ 20,000 คน ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและเชิงสร้างสรรค์ รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่กำลังซื้อสูงที่มองหากิจกรรมเชิงวัฒนธรรม”น.ส.ไตรศุลี กล่าว
แจงรายละเอียด4กิจกรรม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับ 4 กิจกรรมตามโครงการ Unfolding Bangkok ประกอบไปด้วยกิจกรรมทั้งดนตรี ประวัติศาสตร์และศิลปะ ได้แก่ 1) Sound of Music ซึ่งจะเป็นกิจกรรมดนตรีสดและการแสดง จัดขึ้นที่สวนเบญจกิตติ และห้างสรรพสินค้าย่านราชประสงค์ ในช่วงวันศุกร์-อาทิตย์ ระหว่างเดือนมิ.ย.-ก.ค. 2565 2)Greeting Bangkok ประกอบด้วย 2 กิจกรรมย่อย ได้แก่ Temple Hopping ที่จะเล่าเรื่องพระพุทธศาสนา ตกแต่งสถาปัตยกรรมของวัดในย่านพระนครและฝั่งธนบุรี และ Hidden Bangkok ที่จะมีการเปิดพื้นที่ที่ไม่ได้มีการเปิดให้เข้าชมบ่อย เช่น พิพิธภัณฑ์ อาคารสำคัญของทางราชการ ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นทุกวันระหว่างเดือนก.ค.-ก.ย. 2565 เป็นเวลา 3 เดือน
3)Vivid Chaoprayaกิจกรรมสร้างสีสันให้กับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยแสงไฟและmapping สองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมเอเปค และเฉลิมฉลองช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ โดยดำเนินการในเดือนพ.ย.2565 และ4)Living Hualampongจะมีการพัฒนาสถานีรถไฟหัวลำโพงและพื้นที่โดยรอบ เช่นคลองผดุงกรุงเกษมเพื่อแสดงผลงานและการแสดงส่วนหนึ่งของเทศกาล Bangkok Design Week โดยกิจกรรมนี้จัดในช่วงเดือนธ.ค. 2565-ม.ค. 2566
ททท.ตั้งเป้าสร้างรายได้1.3-1.8ล้านล้าน
ทั้งนี้ ททท. ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ เดินทางเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 5-15 ล้านคน สร้างรายได้ทั้งสิ้น 0.63-1.2 ล้านล้านบาท สำหรับการท่องเที่ยวโดยคนไทย คาดว่านักท่องเที่ยวภายในประเทศในปี 2565 จะอยู่ที่ 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้รวม 0.66 ล้านล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมอยู่ที่ประมาณ1.3-1.8 ล้านล้านบาท
ไทยป่วยใหม่รวมATK18,917ดับ58
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ประจำวัน โดยพบผู้ป่วยรายใหม่ 8,450 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อในประเทศ 8,409 ราย เกิดจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 8,380 ราย เกิดจากการค้นหาเชิงรุกและพบการติดเชื้อในชุมชน 29 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ 37 ราย อีก 4 รายเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมผู้ป่วยสะสม 4,316,769 ราย อีก 4 ราย เดินทางมาจาต่างประเทศ จำแนกเป็น เข้ามาแบบ Test and Go 3 ราย และแบบ Free to go 1 ราย ส่วนผู้ป่วยเข้าข่ายจากการตรวจ ATK วันนี้อยู่ที่ 10,467 ราย ทำให้ไทยมีผู้ติดเชื้อรวม 18,917 รายหายป่วยเพิ่ม 12,224 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 93,840 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 58 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 29,034 ราย
ผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม608ถึง 97%
โดยผู้เสียชีวิต 58 ราย มาจาก กทม. 2 ราย ปริมณฑล 4 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 ราย ภาคเหนือ 8 ราย ภาคใต้ 3 ราย และภาคกลาง 21 ราย แบ่งเป็นชาย 33 ราย หญิง 25 ราย อายุระหว่าง 25 - 98 ปี ค่าเฉลี่ยวันที่พบเชื้อ-เสียชีวิต 7 วัน และพบเชื้อวันเสียชีวิต 3 ราย เป็นกลุ่ม 608 คิดเป็น 97% จำแนกเป็น ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี 44 ราย คิดเป็น 76% ป่วยเรื้อรัง 12 ราย คิดเป็น 21% และไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 2 ราย คิดเป็น 3% สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค ได้แก่ มีโรคประจำตัว โดยติดเชื้อจากคนรู้จัก ครอบครัว และอยู่ในพื้นที่ระบาด
หลายจังหวัดยอดป่วยใหม่เพิ่มไม่มาก
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด ตามลำดับ ได้แก่ 1.กทม. 2,268 ราย 2.ศรีสะเกษ 299 ราย 3.บุรีรัมย์ 280 ราย 4.สุรินทร์ 274 ราย 5.ขอนแก่น 263 ราย 6.ชลบุรี 260 ราย 7.สมุทรปราการ 255 ราย 8.มหาสารคาม 185 ราย 9.อุบลราชธานี 182 ราย และ 10.นนทบุรี 168 ราย
ส่วนการกระจายวัคซีนในประเทศ ล่าสุด พบผู้ที่ได้รับผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เพิ่มเติม จำนวน 22,890 ราย ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 22,890 ราย และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 84,971 ราย รวมสะสมผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 134,400,625 ราย แบ่งเป็น ผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 56,371,631 ราย คิดเป็น 81.0% ผู้ได้รับเข็มที่ 2 จำนวน 51,532,174 ราย คิดเป็น 74.0% และผู้ได้รับเข็มที่ 3 จำนวน 26,496,820 ราย คิดเป็น 38.0%
ทั่วโลกพบผู้ป่วยเพิ่ม497,045ราย
สำหรับสถานการณ์โควิดทั่วโลก พบผู้ป่วยเพิ่ม 497,045 ราย รวม 516,454,443 ราย อาการหนัก 40,094 ราย หายป่วย 471,131,395 ราย เสียชีวิต 6,274,504 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ติดเชื้อใหม่ 77,116 ราย สะสม 83,534,060 ราย ตายเพิ่ม 291 ราย สะสม 1,024,386 ราย อินเดีย ติดเชื้อใหม่ 3,737 ราย สะสม 43,098,285 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต สะสม 523,975 ราย บราซิล ติดเชื้อใหม่ 19,725 ราย สะสม 30,543,908 ราย ตายเพิ่ม 176 ราย สะสม 664,143 ราย ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี