“การเปลี่ยนผ่านของไทยจะต้องใช้เวลานานเพราะเป็นเรื่องประชากร การศึกษา แต่ประเทศไทยมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรม ชุมชนมีความหวงแหน จึงเป็นบรรยากาศที่เหมาะสมที่ บพท.จะใช้ทุนวัฒนธรรมเหล่านี้มาช่วยแก้ปัญหาของประเทศ”
นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวถึงภารกิจของ บพท. ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนระดับท้องถิ่น วิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจบนทุนวัฒนธรรม และพบว่าได้ผลดี เกิดผู้ประกอบการวัฒนธรรมขึ้นมาแล้ว 6,000 ราย ทำให้ชุมชนมีรายได้ถึง 200 ล้านบาท
โดยแนวทางของ บพท.จะเป็นไปในแบบการอนุรักษ์แล้วต่อยอด ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งจะทำให้เติบโตได้อย่างมั่นคงมากกว่าการมุ่งเชิงการค้าเพียงด้านเดียว เช่น พื้นที่วัฒนธรรมที่ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ได้เห็นความหวงแหน ความมุ่งมั่นของชุมชน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ บพท. อยากให้เกิดขึ้นทุกหนแห่ง ให้ทุนวัฒนธรรมเป็นมวลขนาดใหญ่ขับเคลื่อนประเทศ
ปัจจุบัน บพท. ดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ในหลายระดับ ทั้งการแก้ปัญหาความยากจนเบ็ดเสร็จแม่นยำ การสร้างชุมชนนวัตกรรม การสร้างธุรกิจชุมชน การส่งเสริมทุนวัฒนธรรมไปจนถึงการพัฒนาเมืองและงานวิจัยเพื่อบรรเทาปัญหาประชาชนในภาวะวิกฤต งานวิจัยต่างๆ ดังกล่าวดำเนินการอยู่ใน 62 จังหวัด ผ่านมหาวิทยาลัยกว่า 90 แห่ง มุ่งเน้นการสร้างความรู้และนวัตกรรมให้ประชาชน ตลอดจนพัฒนาระบบการทำงานในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเกิดกลไก กระบวนการต่อยอดโดยภาคีรัฐและเอกชนในพื้นที่เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
“บพท. ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาทั้งในเชิง Issue (ประเด็น) และ Area (พื้นที่) เช่น การพัฒนาธุรกิจชุมชนเพื่อส่งเสริมธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง และการพัฒนาภาพรวมของพื้นที่ เช่น Smart City (เมืองอัจฉริยะ) หรืออย่างเมืองไผ่ที่ปราจีนบุรี เป็นการยกระดับศักยภาพของทั้งพื้นที่ ทำให้เรามั่นใจว่าแนวทางที่ยึดโยงความต้องการในพื้นที่ เป็นทางออกสำหรับการเปลี่ยนผ่านประเทศไทย
โปรแกรมพัฒนาเมืองของ บพท.เข้าไปมีบทบาทในการจัดตั้งบริษัทพัฒนาเมืองขึ้นมาแล้ว 19 แห่ง เกิดเป็นกระบวนการออกแบบเมืองโดยชุมชน เช่น wellness city ที่เชียงใหม่และภูเก็ต smart city ที่ตำบลแม่เหียะเชียงใหม่ learning city พะเยา และเมืองปลอดคาร์บอน นครราชสีมา เป็นต้น แกนหลักของงานวิจัยคือสร้างความเข้มแข็งจากพื้นที่เพื่อตอบโจทย์ของตัวเอง พอทำต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดความเข้มแข็งทั่วประเทศ เป็นหนทางที่ดีของไทย” นายกิตติ กล่าว
ผอ.บพท. กล่าวต่อไปว่า ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่บรรยายสรุปแก่คณะกรรมการ บพท. พบว่า จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม ทำให้ปีนี้ (2565) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราวร้อยละ 3.2 เนื่องจากการเปิดประเทศทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสภาพการณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวดีขึ้น ซึ่งทำให้คาดด้วยว่าเศรษฐกิจในปีหน้า(2566) จะขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 4.4
อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มต้นจากปีที่แล้วถูกซ้ำเติมจากความขัดแย้งในยูเครน ทำให้ราคาวัตถุดิบ เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ ตลอดจนราคาน้ำมัน ผลักดันให้เงินเฟ้อจะรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังพบกับปัญหาในเชิงโครงสร้างกล่าวคือในจำนวนแรงงาน 40 ล้านคน เป็นเกษตรกร 13 ล้านคน ซึ่งเป็นคนชราประมาณครึ่งหนึ่ง มีผลผลิตต่ำ รายได้ต่ำ ขณะที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างแรงงานนอกภาคเกษตรอีกจำนวนมาก
ดังนั้นแล้ว ประเทศไทยควรหันมาให้ความสนใจกับการขยายเศรษฐกิจบนจุดแข็งของไทยที่ตอบสนองกับ Mega Trend ได้แก่ การพัฒนาเมืองตามแนว Urbanization ของโลก การพัฒนาทุนมนุษย์ให้ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ต่างๆ การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมอาหารบนฐานสิ่งแวดล้อม และพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์
ทั้งนี้ กระบวนการพัฒนาประเทศควรเน้นการพัฒนาที่ยึดโยงปัญหาและเป้าหมายของแต่ละพื้นที่ มีกลไกรวบรวมทรัพยากรจากภาคส่วนต่างๆ มาร่วมกันในลักษณะ One Thailand จะช่วยให้การพัฒนาตรงตามความต้องการและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี