วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า วันนี้ผมได้รับความยุติธรรมแล้ว จากกรณีที่ได้แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เนื่องมาจากถูกร้องเรียนส่งลูกน้องไปเรียน-สอบหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยกองกิจการนักศึกษา งานวินัยนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ส่งหนังสือมาถึงตนเองวานนี้(1ก.ค.) ) แจ้งผลการพิจารณาสอบวินัยนักศึกษา โดยส่งหนังสือบันทึกข้อความ อว.0601.0101/งปพ.734 ลงนามโดย ผศ.เตมีย์ ระเบียบโลก รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ประธานกรรมการสอบวินัยนักศึกษา ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2565 มีเนื้อหาว่า ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ 3437/2564ลงวันที่28ตุลาคม2564 เรื่องการแต่งตั้งกรรมการสอบวินัยนักศึกษานั้น บัดนี้ คณะกรรมการสอบวินัยนักศึกษา ได้พิจารณาและรายงานผลการสอบวินัยนักศึกษาต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสอบวินัยนักศึกษา เสนอให้ยุติเรื่อง ตามนัยมติที่ประชุม ก.บ.ม.ร.ครั้งที่14/2556 วาระที่ 5.53 วันที่ 8 มิถุนายน 2565
นายสามารถ กล่าวว่า จากกรณีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มีหนังสือส่งมาแจ้งให้ทราบถึงผลการสอบ ว่าตนเองไม่มีความผิดทางวินัยนักศึกษาและไม่ถูกตัดสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น เพราะไม่มีมูล จึงยุติเรื่อง ส่วนขั้นตอนการตรวจสอบของมหาวิทยาลัย ที่ใช้เวลานาน เนื่องมาจากทางคณะกรรมการสอบสวนได้สืบข้อมูลจากหลายบุคคลหลายสิบปากเพื่อให้เกิดความกระจ่างและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มีทั้งเจ้าหน้าที่ อาจารย์ ตำรวจที่ปรากฏชื่อในข่าวและทุกคนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ต่อจากนี้ตนก็ใช้สิทธิตามนักศึกษาปริญญาเอกทุกประการเหมือนไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น
“กรณีที่เกิดขึ้นผมไม่ทราบว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดหรือเป็นเรื่องหวังผลทางการเมือง โดยมีคนเขียนข่าวขึ้นมาแล้วยัดใส่มือนักข่าว ซึ่งมีการเสนอข่าวไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องและเกิดผลเสียกับผม แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบและไม่ได้มีการชี้แจงเพราะคิดว่าความจริงก็คือความจริง ซึ่งครั้งนั้นผมได้แสดงสปิริตลาออกเองจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่1พ.ค.64 และพรรคพลังประชารัฐไม่ได้มีหนังสือปลดผมจากผอ.ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์พรรคฯ แต่เป็นมติคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งไม่ใช่มติพรรค ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายตำแหน่ง แต่เสียดายโอกาส1ปี1เดือนที่ควรจะสามารถช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ถูกหลอกลวงฉ้อโกงจากมิจฉาชีพแชร์ลูกโซ่ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดเพิ่มขึ้นมากมายทุกวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คะแนนนิยมพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลดลงด้วยเช่นกัน” นายสามารถกล่าว
และว่า“จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตผมอโหสิกรรมให้ทุกคน แต่หลังจากนี้สื่อไหนที่ลงเผยแพร่เรื่องดังกล่าวขอให้ลบข้อมูลทิ้งให้หมด และถ้ามีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก ผมก็จะให้ทีมกฎหมายดำเนินคดีตามกฎหมายฟ้องทั้งแพ่งและอาญา ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏในโซเชียลและมีการแชร์นั้นเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงอยากให้สื่อทุกฉบับที่เคยเข้าใจผิดให้ลบข้อมูลนี้ทิ้งด้วย เพราะผมคิดว่าคงเป็นเรื่องการเมือง ณ เวลานั้น ซึ่งผมไม่ติดใจและก็ไม่อยากจะเอาผิดใคร”
นายสามารถ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ตนก็จะทำหนังสือเรียนท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แจ้งให้ท่านทราบข้อมูล ซึ่งมองว่าวันนี้ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นกับผม หลังจากใช้เวลาต่อสู้มาถึง 13 เดือนต่อสู้ในฐานะประชาชนและไม่ได้ใช้อำนาจในทางการเมืองเพราะลาออกจากตำแหน่งแล้ว เพื่อต้องการให้กระบวนการยุติธรรมโปร่งใสและเป็นธรรม โดยสู้ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และความจริงก็ปรากฏแล้ว ผมมองว่าในมางการเมืองพลเอกประวิตร ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาและให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้น หลังจากนี้ผมคิดว่าท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความเป็นธรรมและคืนความชอบธรรมให้กับผม เพราะพรรคพลังประชารัฐเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นที่พึ่งของประชาชน
นายสามารถ กล่าวว่า ตลอดช่วง13เดือนที่ผ่านมา ผมก็ทำงานช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนมาโดยตลอด และยังทำหน้าที่ในกรรมาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจนแล้วเสร็จ อย่างเช่น กรรมาธิการศึกษาปัญหายาเสพติด ได้พิจารณาจบ และเสนอสภาฯแล้ว ซึ่งถือว่าตนเองได้ทำภารกิจให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนจนเสร็จสิ้น รวมทั้งการทำงานในอนุกรรมาธิการในคณะต่างๆตามที่ได้รับมอบหมาย ตนมองว่าพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตร เป็นคนหวังดีต่อบ้านเมือง ซึ่งผมคิดว่าบ้านเมืองมีหลายเรื่องที่ต้องแก้ไขปัญหา และหากเห็นว่าผมมีคุณสมบัติก็ยินดี เพราะว่าเรื่องใหญ่ให้ใช้คนเยอะ เรื่องไหนปัญหายากให้ใช้คนเก่ง สำหรับปัญหาการหลอกลวง ฉ้อโกงประชาชนที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบตลอดเพื่อล้วงเงินจากกระเป๋าประชาชนนั้น ตนเชื่อว่าสุดเท้ายนั้นเป้าหมายของมิจฉาชีพคือเงิน ซึ่งผลลัพธ์ไม่เปลี่ยน ซึ่งการแก้ปัญหานั้นจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงาน และแก้กฎหมายให้มีความทันสมัยในการดำเนินจัดการกับอาชญากรทางการเงินทุกรูปแบบ เพราะกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันบทลงโทษไม่รุนแรงและฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ทำงานช้าจึงทำให้ไม่เกรงกลัวกฎหมาย