สธ.จับตาโควิดกระฉูดหลังหยุดยาว
4จว.เตียงโคม่าแน่น
‘กรุงเทพ-นนท์-ปทุม-สมุทรปราการ’
หนุนกทม.จัดระบบอุดช่องส่งต่อผู้ป่วย
ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปถึงไทย7พันโดส
ครม.ทุ่มงบเฉียด4พันล้านซื้อยาเพิ่ม
ผู้ป่วยติดเชื้อเข้ารักษาในรพ.รายวัน 1,814 คน ตาย 17 ศพ ปอดอักเสบ794 ราย สธ.จับตาหลังหยุดยาวโควิดแผลงฤทธิ์ ทำยอดติดเชื้อกระฉูดเผยสถานการณ์ 4 จว. “กรุงเทพฯ-ปริมณฑล” เตียงป่วยหนักเริ่มตึงมือเตรียมปรับแผนรับมือ ย้ำกลุ่ม 608 ฉีดครบ 3 เข็มแล้วต้องกระตุ้นภายใน 4 เดือน อย่าทิ้งช่วงนาน ห่วงหลัง 98% ของผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่มสูงอายุ และมีโรคประจำตัว ระบุภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปถึงไทยลอตแรก 7 พันโดส กระตุ้นภูมิด่วนให้กลุ่มผุ้ป่วยโรคไต ครม.ทุ่มงบอีก 3.9 พันล้านซื้อยาโควิด
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) แถลงข่าวสถานการณ์โควิด-19 ประจำวัน รวมถึงภาพรวมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดทั้งผุ้ติดเชื้อและเสียชีวิต
ติดเชื้อนอนรพ.1,814-ตาย17ราย
นพ.โอภาสระบุว่า ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล(รพ.) 1,814 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 1,813 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,337,408 ราย นับตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 หายป่วยกลับบ้าน 2,361 ราย หายป่วยสะสม 2,338,601 รายนับตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 ผู้ป่วยกำลังรักษา 22,735 ราย เสียชีวิต 17 ราย เสียชีวิตสะสม 9,315 รายนับตั้งแต่ 1 มกราคม 2565
ปอดอักเสบ794-ป่วยสะสม1.4แสน
ทั้งนี้ มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 794 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 369 ราย อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อเน้นผู้ป่วยนอนในรพ. แต่ยังมีข้อมูลอื่นอีกคือ กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอก สัปดาห์ที่ผ่านมามี 143,827 คน มีอีกข้อมูลประชาชนรายงาน ATK และข้อมูลสอบสวนโรคเป็นคลัสเตอร์ ซึ่งใช้ 4 ข้อมูลประกอบกัน แต่ข้อมูลที่สธ.ให้ความสนใจมากที่สุดคือ ผู้ป่วยอาการรุนแรงใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิต แนวโน้มเพิ่มเล็กน้อย สิ่งที่ต้องจับตาคือ สถานการณ์หลังหยุดยาวจะเป็นอย่างไร
จับตาหลังหยุดยาวติดเชื้อกระฉูด
อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวต่อว่า ในจำนวนผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ยังเป็นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดใหญ่ ซึ่งช่วงเทศกาลมีประชาชนทำงานในกรุงเทพฯและปริมณฑล เดินทางกลับภูมิลำเนา อาจมีเหตุการณ์ติดเชื้อต่างจังหวัดได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกำลังจับตา รวมทั้งช่วงนี้นักเรียนเปิดเทอมอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตโอมิครอนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค รวมคนท้อง ทั้งหมด 98% และยังเป็นกลุ่มไม่ได้รับวัคซีนหรือได้ไม่ครบแต่แนวโน้มป่วยหนักจะไม่รุนแรง
อาการเด่นโอมิครอนเจ็บคอมีไข้
นพ.โอภาสกล่าวย้ำว่า หลังหยุดยาวต้องย้ำมาตรการ 2U (Universal Prevention-Vaccination) คือ ป้องกันส่วนบุคคลและวัคซีน ตรวจ ATK เมื่อมีอาการคล้ายไข้หวัด โดยสายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 อาการเด่นคือเจ็บคอ ระคายคอ มีน้ำมูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามตัว ฉะนั้นคนหนุ่มคนสาวแข็งแรง ฉีดวัคซีนมาแล้วอาการจะอยู่ประมาณนี้ อย่านิ่งนองใจคิดว่าเป็นหวัด แต่หากมีอาการแล้วควรตรวจ ATK สำหรับบริษัทห้างร้านหากมีคนติดโควิด ถ้าอาการน้อยให้แยกกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำแพทย์ 7 วันเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้นหากสบายดีก็สามารถกลับมาทำงานได้ อย่างไรก็ตามช่วง 3 วันแรกขอให้งดเว้นการพบกับผู้อื่น ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
4จว.“กทม.-ปริมณฑล”เตียงโคมาตึงมือ
นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า สถานการณ์โควิด-19 รายจังหวัด ที่อัตราครองเตียงระดับ 2-3 หรือเตียงสีเหลืองและสีแดง ภาพรวมอยู่ในกลุ่มสีเขียว แปลว่า ความสามารถรองรับผู้ป่วยหนักในรพ.ต่างๆได้ค่อนข้างดี แต่ในกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการและปทุมธานี สัดส่วนครองเตียงผู้ป่วยหนักเริ่มตึงตัว แต่ยังรองรับได้ สาเหตุจากติดเชื้อมากขึ้น และปรับเตียงไปใช้ในผู้ป่วยโรคทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสามารถขยายเตียงเพิ่มได้ จึงให้ความมั่นใจว่ายังดูแลผู้ป่วยหนักได้ ทั้งนี้ ในจังหวัดที่ครองเตียงสูง ปลัดกระทรวงสาธารณสุขประสานไปแล้ว สามารถจัดการรองรับได้เหลือแต่กทม.ที่ต้องหารือกันเพราะต้องยอมรับว่า กทม.ไม่มีระบบส่งต่อผู้ป่วย จึงจำเป็นต้องหารือบูรณาการความร่วมมือจัดระบบ ถ้าไม่คุยกันจะมีปัญหาเรื่องการจัดการ การส่งต่อผู้ป่วยป้องกันไม่ให้เกิดกรณีผู้เสียชีวิตคาบ้าน
ป่วยนอนรพ.เส้นสีเขียวรับมือได้
สำหรับฉากทัศน์สถานการณ์ข้างหน้า นพ.โอภาสเผยว่า ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ที่เข้ารพ. ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ที่ควบคุมไม่ได้หรือเส้นสีแดง แต่ถ้าควบคุมสถานการณ์ได้จะอยู่เส้นสีเขียว ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในเส้นสีเขียว แสดงว่าระบบสาธารณสุขยังดูแลผู้ป่วยอาการหนักได้ ส่วนผู้ป่วยใส่ท่อหายใจแนวโน้มยังสูงอยู่ แต่ยังอยู่ระหว่างสีแดงและสีเขียว ซึ่งสถานการณ์จะคลี่คลายและเบาลง ผู้เสียชีวิตไต่ระดับเส้นแดงและเขียวอยู่ ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดต่อไป
ย้ำฉีดเข็ม3ห่าง4เดือนต้องฉีดกระตุ้น
“ที่น่าสนใจคือ ระยะหลังพบว่ากลุ่ม 608 แม้ฉีดวัคซีน 3 เข็มแล้วยังเสียชีวิต โดยเฉพาะหลังฉีดเข็ม 3 แล้ว 3-4 เดือน ดังนั้น อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแนะนำว่าการฉีดเข็มกระตุ้นเข็มต่อไปควรห่างจากเข็มล่าสุดประมาณ 3-4 เดือน อีกกลุ่มหนึ่งสำคัญคือ ผู้ป่วยโรคไต ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่พบเสียชีวิตมากสุดถึง 36 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิต 152 ราย” นพ.โอภาส กล่าว
ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปถึงไทย7พันโดส
และว่า ส่วนกลุ่มที่ฉีดวัคซีนไปแล้วภูมิต้านทานขึ้นไม่ดี ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ศบค. และสธ.จัดหาภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) มาให้ในกลุ่มป่วยโรคไตเรื้อรังที่ต้องฟอกไต ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ซึ่งจะเข้ามาล็อตแรกวันที่ 25 กรกฎาคม สัปดาห์หน้า 7 พันชุด จากนั้นจะทยอยมาจนครบ 257,500 โดส 1ชุดมียา 2 ตัว ฉีดสะโพก 2 ข้าง อยู่ได้นาน 6 เดือน
เล็งขยายช่องทางเข้าถึงโมลนูพิราเวียร์
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการเข้าถึงยารักษาโควิด-19 ว่า ผู้ติดเชื้อโควิดไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย กรณีมีอาการเล็กน้อยสามารถใช้ยารักษาตามอาการ หรือใช้ฟ้าทะลายโจรได้ ส่วนกรณีมีอาการที่ต้องได้รับยาต้านไวรัส ทั้งยาฟาวิพิราเวียร์โมลนูพิราเวียร์เรมเดซิเวียร์แพกซ์โลวิด รวมถึงแอนติบอดี LAAB ที่ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ตามแนวทางและข้อบ่งชี้ของกรมการแพทย์ ซึ่งยาเหล่านี้ต้องสั่งใช้โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเท่านั้น ทั้งนี้ สธ.ตั้งเป้าให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นที่ผู้ติดเชื้อดูแลตนเองได้ กรณียาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้ผู้ป่วยนำกลับไปรับประทานที่บ้านได้ โดยโรงพยาบาลเอกชนได้รับการสนับสนุนยาโมลนูพิราเวียร์จากสธ. สำหรับดูแลผู้ป่วยโควิดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์มาให้บริการผู้ป่วยโควิดเองเพิ่มเติมได้
ดังนั้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์มากขึ้น ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคโควิด-19 (EOC) จึงเตรียมการให้คลินิกเอกชนสามารถจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์มาใช้ดูแลผู้ป่วยโควิดได้ด้วยเช่นกันมอบให้ นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจัดทำแผนดำเนินการให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จัดหายาเพิ่มเติม ซึ่งในอนาคตอาจขยายให้ร้านขายยาสามารถจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ได้ด้วย แต่ยังต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมการแพทย์ คือ เป็นผู้ป่วยอาการสีเหลืองขึ้นไป
ครม.ไฟเขียว3,995ล.ซื้อยารักษาโควิด
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่าที่ประชุมเห็นชอบโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโควิด-19 กรอบวงเงิน 3,995.2708 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 3 เดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายนแบ่งเป็นสำหรับซื้อยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ (ของใหม่) ได้แก่ Favipiravia/Molnupiraviaเฉลี่ย 27 ล้านเม็ดต่อเดือน จำนวน 1,296.00 ล้านบาทและ Remdesivir57,000 vialต่อเดือน จำนวน 21.96 ล้านบาท วงเงินรวม 1,317.96 ล้านบาท รวมทั้งเป็นการแบ่งค้างชำระ สำหรับ Favipiraviaและ Molnupiravia165 ล้านเม็ด จำนวน 2,653.81 ล้านบาท) และค่าชุดตรวจ ATK 1 ล้านชุด 23.50 ล้านบาทของเดือนมีนาคม-มิถุนายน รวมวงเงิน 2,677.31 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโควิด และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับเตรียมพร้อมรับมือป้องกันโควิด-19 และดูแลรักษาผู้ติดเชื้อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรแพทย์ ในการรักษาผู้ติดเชื้อ
สธ.พร้อมช่วยกทม.สู้โควิด
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึง กรณีกระทรวงสาธารณสุขเชิญกรุงเทพมหานครหารือถึงสถานการณ์โควิดและการรับมือการระบาดในพื้นที่กทม.ว่า เป็นเรื่องของปลัดกระทรวง ตนเพียงสนับสนุนนโยบายและงบประมาณ ซึ่งกรุงเทพมหานครต่างจาก เพราะมีการบริหารจัดการเป็นเอกเทศ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขเคยเข้าไปให้ความช่วยเหลือ แต่บางครั้งถูกขอให้ออกมา เนื่องจากไม่มีอำนาจ เราจึงทำหน้าที่สนับสนุน ตามที่กทม.ประสานมา แต่จะให้กทม.ทำคนเดียวก็ยังไม่ได้ เพราะยังมีงานต้องทำเกี่ยวข้องกัน ทั้งเรื่องระบบ สปสช. ยา วัคซีน แต่เรื่องการบริหารจัดการเราเข้าไปดูไม่ได้ แต่ขณะนี้เปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว การบริหารจัดการการทำงานจะดีขึ้น สธ.พร้อมสนับสนุนกทม.ป้องกันการระบาดโควิด
ยังไม่มีคลัสเตอร์จากกิจกรรมกทม.
ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับผู้บริหาร กทม.ว่า ได้รับจดหมายเชิญจากปลัดสธ.ให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศปค.สธ.) แล้ว แต่ที่ประชุมนี้ก็มีองค์ประชุมของฝั่ง กทม.เป็นรองปลัด กทม.ที่เกี่ยวข้องอยู่ ใจจริงอยากไปร่วมประชุมด้วย แต่ติดภารกิจอัดเทปช่วงเวลา 14.00 น. ขอบคุณ สธ.ที่ให้เกียรติและพร้อมร่วมมือกับสธ.ทุกด้าน ส่วนเรื่องที่ขอความร่วมมือ กทม. ลด ละ เลิกกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มในกทม.นั้น ระบุว่า กทม.จัดกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง ที่ผ่านมาไม่ได้เจอคลัสเตอร์จากการจัดกิจกรรมทั้งดนตรีในสวน หรือเทศกาลหนังกลางแปลง แต่ส่วนใหญ่ที่พบติดเชื้อจากในครอบครัว และติดจากเด็กที่ไปโรงเรียนกลับมาติดที่บ้าน แต่จะรับคำแนะนำไว้ รอผลประชุมวันนี้กับสธ.ว่าจะมีคำแนะนำอย่างไร ย้ำตนไม่ได้ติดกับการจัดงานอะไร คุยกันด้วยเหตุผล พร้อมปรับวิธีการตามสถานการณ์ ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อมีเพิ่มมาจากการจัดกิจกรรมกลางแจ้งของ กทม.
กทม.เคาะ4มาตรการรับมือ
พญ.วันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดในกทม.ขณะนี้ เฉลี่ย 2,000-3,000 คนต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสีเขียว แพทย์ให้ยาตามเกณฑ์ที่กรมการแพทย์กำหนด กทม.ยังมีเตียงเพียงพอ ข้อมูลวันที่ 1-17 กรกฎาคมรายงานผู้ป่วยโควิดเข้ามารับบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุขและโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ กทม.รวม 31,119 รายจากการประชุมวันนี้ กทม.ได้ข้อสรุปมี 4 มาตรการที่จะดำเนินการคือ 1.เปิดศูนย์สาธารณสุขวันเสาร์ด้วย เพื่อให้บริการตรวจโควิด และจ่ายยาให้ได้ 2.เปิดฉีดวัคซีนแบบวอล์กอินที่ศูนย์สาธารณสุขวันศุกร์และวันเสาร์ 3.ตรวจเชิงรุกในรร.เพิ่มขึ้น และ 4.เร่งฉีดวัคซีนเชิงรุกให้กลุ่มเสี่ยง 608 เพราะพบว่าส่วนมากเมื่อติดเชื้อจะเป็นผู้ป่วยหนักอาการสีเหลือง แดง โดย กทม.จะออกหนังสือขอความร่วมมือทุกสถานพยาบาล เมื่อมีกลุ่ม 608 เข้ามารับบริการรักษาที่รพ.อยู่แล้วจะขอให้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์ไปด้วย
ส่วนเรื่องจำนวนยานั้น ขอความกรุณากระทรวงให้สนับสนุนยาให้เพียงพอ เพื่อให้รองรับที่จะเปิดจุดรับยา เจอ แจก จบ มากขึ้น ย้ำผู้ที่ตรวจแล้วยืนยันว่าติดเชื้อให้กักตัวและรักษา 5+5 วัน ในแง่ของการควบคุมโรค ขอให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี