“เอเลียน สปีชีส์ (Alien species)” หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้นๆ ตั้งแต่ดั้งเดิม หากแต่ถูกนำเข้ามาจากถิ่นอื่น ซึ่งเอเลียน สปีชีส์ บางครั้งมาแล้วก็เกิดประโยชน์ เช่น พริกยางพารา พืชซึ่งมีต้นกำเนิดในภูมิภาคลาตินอเมริกา(ทวีปอเมริกากลางและใต้) แต่ต่อมาได้กลายเป็นเครื่องปรุงรสอาหารและพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทยจนถึงปัจจุบัน แต่บางอย่างได้กลายเป็นปัญหา “อินเวซิฟ สปีชีส์ (Invasive Species)” หมายถึง สิ่งมีชีวิตจากต่างถิ่นที่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
สำหรับประเทศไทย อินเวซิฟ สปีชีส์ ที่คุ้นเคยกันดีคือ “ปลาซัคเกอร์” หรือที่ยุคหนึ่งเคยถูกเรียกว่า “ปลาเทศบาล-ปลาดูดกระจก” มีถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมในอเมริกาใต้ กระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อนถูกนำเข้ามาเลี้ยงเพื่อให้ทำความสะอาดตู้ปลาด้วยการให้กินตะไคร่น้ำหรือเศษอาหาร แต่ด้วยความที่ปลาชนิดนี้โตเร็วและต้องการอาหารมาก เมื่อตะไคร่น้ำในตู้ปลามีไม่พอก็ไปไล่ดูดเมือกปลาอื่นๆ จนตาย รวมถึงกินแม้กระทั่งไข่ปลาและลูกปลาตัวเล็กๆ ทำให้บรรดาผู้เลี้ยงปลานำมันไปปล่อยในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ แต่ปลาซัคเกอร์นั้นดำรงชีวิตอยู่ได้แม้แต่ในน้ำคุณภาพต่ำ จึงขยายพันธุ์ไปทั่วจนเกิดความกังวลว่าจะทำให้ปลาอื่นๆ ในระบบนิเวศของไทยสูญพันธุ์ในที่สุด
หรือ “ผักตบชวา” พืชที่มีต้นกำเนิดในอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในไทยผ่านทางดินแดนชวา ประเทศอินโดนีเซียเมื่อกว่าร้อยปีก่อนซึ่งขณะนั้นยังเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ต่อมาเมื่อเกิดน้ำท่วมได้หลุดออกจากสถานที่เลี้ยงลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ด้วยความที่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติอย่างในถิ่นกำเนิด ทำให้ผักตบชวาขยายพันธุ์ได้รวดเร็วจนส่งผลกระทบต่อแม่น้ำลำคลองของไทยอย่างในปัจจุบัน
ล่าสุดที่กำลังเริ่มถูกพูดถึงกันคือ “จอกหูหนูยักษ์” พืชอีกชนิดที่มีถิ่นกำเนิดในเมริกาใต้และถูกนำเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำสาธารณะไม่ต่างจากผักตบชวา มีหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบรวมถึง “ทะเลบัวแดง” หรือพื้นที่อ่างเก็บน้ำหนองหานกุมภวาปี อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของไทย โดยเฉพาะในปี 2569 จ.อุดรธานี จะเป็นเจ้าภาพ “งานมหกรรมพืชสวนโลก” หากยังปล่อยให้ทะเลบัวแดงถูกปกคลุมด้วยจอกหูหนูยักษ์ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้
เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค. 2565 ที่ผ่านมาทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” มีโอกาสไปเยี่ยมชมการกำจัดจอกหูหนูยักษ์ในพื้นที่ “อ่างเก็บน้ำห้วยมงคล-อ่างเก็บน้ำไทรงาม” อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยผู้รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว ปริญญา คัชมาตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 14 กรมชลประทาน เปิดเผยว่าจอกหูหนูยักษ์จำนวนมากในอ่างเก็บน้ำ น่าจะไหลมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากที่ใดหรือใครนำมา
“วัชพืชนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่อ่างไหน เจ้าหน้าที่กรมชลฯ เรามีการติดตามอยู่แล้ว เพียงแต่ตัวนี้มันขยายพันธุ์เร็วมาก ทางเราก็มีขั้นตอนการดำเนินงาน เพียงแต่ตอนนั้นเราไม่ทราบว่ามันเป็นจอกหูหนูยักษ์ มันก็เลยทำให้การกำจัดมันไม่ทัน เบื้องต้นสิ่งที่เราได้รับเรื่องจากชาวบ้านที่เขาแจ้งมา 1.เขาไม่สามารถหาปลาได้ มันมีผลกระทบกับชาวบ้านแล้วเบื้องต้น 2.เนื่องจากมีวัชพืช คุณภาพน้ำที่ทางกรมชลฯ มีการตรวจวัดอยู่ตลอดทุกเดือน
มีโอกาสจะทำให้น้ำเน่าเสีย แต่ขั้นตอนของอ่างตัวนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากกรมชลฯ มีการตรวจสอบทุกเดือนอยู่แล้ว จริงๆ แล้วทางสำนัก 14 ยังไม่เคยเกิดเหตุกรณีจอกหูหนูยักษ์บูมขนาดนี้ เราไม่ทราบว่าทิ้งไว้ระยะเท่าไรมันถึงจะเกิดน้ำเสีย เพียงแต่ตอนนี้เมื่อเราทราบ เราก็ได้มีการรายงานกรมฯ แล้วกรมฯ ก็สนับสนุน ส่งงบประมาณมาเพื่อมาป้องกันแก้ไขปัญหา” ปริญญา ระบุ
ผอ.สนง.ชลประทานที่ 14 เล่าต่อไปว่าหลังพบวัชพืชปริศนาขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วแม้จะพยายามกำจัดอย่างไรก็ตาม จึงประสานไปยังสำนักวิจัยของกรมชลประทานให้มาตรวจสอบ จึงได้ทราบว่าเป็นจอกหูหนูยักษ์ นำไปสู่การใช้หลายวิธีประสานกันในการกำจัด เช่น การฉีดพ่นสาร สวพ. ทำให้การเติบโตของจอกหูหนูยักษ์ช้าลง รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่งเครื่องจักรมาช่วยเก็บจอกหุหนูยักษ์ในอ่างเก็บน้ำอีกแรง
ด้าน จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และอดีตผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร หนึ่งในผู้สนับสนุนภารกิจการกำจัดจอกหูหนูยักษ์ กล่าวว่าจอกหูหนูยักษ์ มีรายงานการพบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2544 ในตลาดนัดสวนจตุจักร ทั้งที่ในขณะนั้น จอกหูหนูยักษ์ถูกขึ้นบัญชีเป็น “พืชต้องห้ามนำเข้า” ตามกฎหมาย พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ. 2507 กระทั่งในอีกหลายปีให้หลัง เริ่มมีรายงานจอกหูหนูยักษ์ระบาดหนักในแหล่งน้ำหลายจังหวัดทั่วประเทศ
ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว กรมชลประทานจะมีสาร สวพ.1 หรือ 2,4-D ใช้กำจัดวัชพืช แต่เมื่อพบว่าประสิทธิภาพกับจอกหูหนูยักษ์ไม่ดีนัก จึงค้นหาข้อมูลจากต่างประเทศที่มีปัญหาแบบเดียวกันนำมาสู่การทดลองใช้ กลูโฟซิเนต แอมโมเนียมไคควอต โดยชวนภาคเอกชนให้สนับสนุนสารดังกล่าว พร้อมกับเชิญทาง บ.ยามาฮา ที่มีเฮลิคอปเตอร์สำหรับพ่นสารเคมีเกษตรซึ่งจดทะเบียนกับ กรมการบินพลเรือน เบื้องต้นพบสารเหล่านี้ใช้ได้ดี เช่น ไคควอตทำให้จอกหูหนูยักษ์ตายภายใน 1 วัน เหมือนลักษณะการเผาไหม้ ส่วนกลูโฟซิเนตจะเห็นอาการเมื่อผ่านไป 3-5 วัน
จรรยา กล่าวต่อไปว่า จอกหูหนูยักษ์เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก มีรายงานว่า ภายในเวลาเพียง 3 วัน สามารถขยายพื้นที่ครอบคลุมผิวน้ำได้ 2 เท่า เช่น พื้นที่หนึ่งมีจอกหูหนูยักษ์ 5 หมื่นตัน หากวันหนึ่งจัดเก็บได้ 800 ตัน แต่ที่เหลือก็ยังขยายพันธุ์ต่อไป จึงเป็นไปไมได้เลยที่ลำพังจะใช้เฉพาะแรงคนและเครื่องจักรในการกำจัดจอกหูหนูยักษ์ จึงต้องใช้หลายวิธีผสมผสาน โดยพ่นสารเคมีเพื่อตัดวงจรการขยายพันธุ์ อาทิ ในอดีต เคยมีคำแนะนำให้ใช้ พาราควอต ฉีดพ่นเดือนละ 1 ครั้งติดต่อกันทุกเดือน กระทั่งพาราควอดถูกจัดเป็นสารต้องห้าม จึงหันมาใช้ 2,4-D แทน
ทั้งนี้ ย้ำว่า “สำหรับ 2,4-D หรือสาร สวพ.1 ที่กรมชลประทานนำไปพ่นกำจัดจอกหูหนูยักษ์ เมื่อเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบไม่พบสารตกค้าง ขณะที่ ไดควอตกับกลูโฟซิเนต เบื้องต้นมีรายงานจาก รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า เมื่อผ่านไป 10 วันหลังฉีดพ่นสารครั้งล่าสุด ก็สามารถใช้น้ำในแหล่งดังกล่าวเพื่อการอุปโภค-บริโภคได้ตามปกติ” และคาดว่าในประเทศไทยน่าจะมีงานวิจัยเรื่องเดียวกันออกมาบ้างในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม “ข้อจำกัดทางกฎหมาย”เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถนำจอกหูหนูยักษ์ไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ เช่น “การห้ามเคลื่อนย้ายวัชพืชและซากวัชพืชต้องห้ามออกนอกพื้นที่ระบาด” แม้จะมีผู้สนใจต้องการนำไปทดลองทำปุ๋ยหมัก หรือมีประชาชนอยากนำไปเป็นอาหารเลี้ยงปลาก็ตาม การกำจัดที่ทางกรมชลประทานทำได้ในปัจจุบันจึงมีเพียงการเผาทำลายเท่านั้น จึงน่าคิดว่า ในเมื่อจอกหูหนูยักษ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในประเทศไทยแล้ว กฎหมายพืชต้องห้ามสมควรถูกแก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปหรือไม่
โดยหากเทียบกับมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งในช่วงแรกต้องใช้ยาแรงอย่างการล็อกดาวน์ปิดกิจการและสถานที่ต่างๆ รวมถึงหากพบผู้ติดเชื้อแม้เพียงรายเดียวก็ต้องพ่นยาฆ่าเชื้อกันทั่วพื้นที่โดยรอบ กระทั่งต่อมาสามารถลดความรุนแรงของการระบาดลงได้ก็ไม่ต้องใช้ยาแรงอีก การกำจัดจอกหูหนูยักษ์ก็เช่นกัน การพ่นสารกำจัดวัชพืชคือยาแรงที่ใช้ในระยะแรก โดยมีผลการศึกษาพบว่า การพ่นเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 6 เดือน ก็เพียงพอกับการควบคุมการระบาดแล้ว แต่ต้องทำพร้อมกันทั่วทุกจุดที่ระบาด หลังจากนั้นก็ใช้เพียงการเก็บโดยคนและเครื่องจักร
“ถ้าเราเปรียบเทียบกับโควิดที่เป็นโรคระบาดร้ายแรง ทุกคนก็เฝ้าระวังกันหมด แต่พอตอนนี้เราก็ต้องอยู่กับมันแล้ว เราก็ประกาศให้มันเป็นโรคประจำถิ่น เราก็ต้องปล่อยให้มีแล้วเพราะมันกำจัดไม่หมด จอกหูหนูยักษ์ก็เหมือนกัน เราให้มันเป็นวัชพืชประจำถิ่นไหม? คนที่อยากเลี้ยงปลาก็จะได้เอาไปเลี้ยงปลา คนที่อยากทำปุ๋ยก็เอาไปทำปุ๋ย ส่วนที่อยากกำจัดก็กำจัด แต่ต้องมีกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน คุณเลี้ยงปลาคุณต้องระวังอะไรบ้าง ก็ต้องให้ความรู้ว่ามันจะไประบาดอย่างไร ก็ต้องป้องกันไม่ให้มันหลุดออกมาอีก แล้วก็ให้ชุมชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา” จรรยา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี