กสม.ระดมความเห็นจัดทำข้อเสนอช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบาง ถอดบทเรียนวิกฤตโควิดรับมืออุบัติภัยใหม่ ครูโรงเรียนอิสลามวอนรัฐช่วยเด็กโรฮิงยา
เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถ.แจ้งวัฒนะนางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมกลุ่มย่อยเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นหนึ่งในการจัดงาน“สมัชชาสิทธิมนุษยชน:เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ กสม.” ว่าแม้ว่ารัฐบาลพยายามแก้ปัญหาและควบคุมโรคโควิดแต่ยังมีข้อท้าทายหลายประการโดยเฉพาะการฟื้นฟูภายหลังโควิด รวมทั้งการเตรียมพร้อมรับมือกับอุบัติภัยต่างๆเพราะเมื่อเกิดวิกฤตก็เกิดการเรียนรู้และกระบวนการต่างๆดังนั้นการได้สรุปบทเรียนจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง รวมถึงการได้มารับฟังความเห็นต่างๆเพื่อทำเป็นข้อเสนอในการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับเป็นนโยบาย เมื่อเกิดวิกฤตโควิดทั่วโลกและมีนวตกรรมใหม่ๆในการช่วยเหลือชาวบ้าน ทำอย่างไรถึงจะมีการพัฒนาเชิงระบบ
นายกิตติ อินทรกุล รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า แรกเมื่อเกิดวิกฤตโควิดส่วนราชการเองก็ไม่รู้ว่าใครจะทำอะไรบ้าง สิ่งที่เราพบในภูเก็ตเมื่อสถานประกอบการถูกปิด พนักงานไม่มีรายได้ โจทย์ของเราคือช่วยเขาอย่างไรเพราะวันหนึ่งเขาอยากกลับบ้านแต่ก็กลับไม่ได้เพราะมาตรการปิดจังหวัดห้ามข้ามสะพานสารสิน เมื่อเขาอยู่บ้านเช่าและต้องถูกให้ออกเพราะไม่มีเงินจ่าย แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตขณะนั้น บอกให้ใช้งบประมาณเต็มที่แต่ต้องดูระเบียบให้ชัดเจน ทำอย่างไรให้เขาได้อยู่ในห้องเช่าต่อไป หากไปอยู่กับเพื่อนก็ช่วยสนับสนุนงบประมาณ
“ในช่วงวิกฤตผมมีหน้าที่นั่งเช็คเฟสบุคว่ามีใครต้องการนม หรือมีใครเดือดร้อนที่ไหนบ้าง ทำให้ไม่มีการร้องเรียนเลย สิ่งที่เราต้องทำต่อคือเราควรมีแหล่งผลิตอาหารและดึงพืชผลมาใช้ในภาวะวิกฤตหรือไม่ เรามีนิคมสร้างตนเองอยู่กว่า 40 แห่ง เราอาจต้องเริ่มวางแผน ที่สำคัญอีกเรื่องคือทุนมนุษย์ที่หายไปเพราะเด็กๆขาดทักษะเนื่องจากการออนไลน์ เราต้องกลับมาดูว่าหลักสูตรการอบรมต่างๆตอบโจทย์ของโลกหรือไม่โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบาง”นายกิตติ กล่าว
นายสุรเดช ลุนิทรานนท์ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กล่าวว่าปัจจุบันสถานประกอบการ 80 %ในเชียงใหม่ก็ยังไม่ฟื้นตัว โดยสถานการณ์โควิดรุนแรงขึ้นหลังจากเริ่มมีการรับเชื้อจาก กทม. เราได้เข้าไปในชุมชนทำให้รู้ว่าเรื่องความรู้ความเข้าใจสำคัญมากเพราะเกิดการรังเกียจคนที่ติดเชื้อโควิด ขณะที่เทศบาลนครเชียงใหม่ใช้งบประมาณมหาศาลในการซื้อถุงยังชีพ ซึ่งไม่แน่ใจว่าถุงเหล่านี้ลงไปถึงประชาชนหรือไม่ เพราะกระจุกตัวและส่งไปยังชาวบ้านที่เป็นฐานเสียงของสมาชิกสภาเทศบาล ทำให้ชาวบ้านบางส่วนได้ถุงยังชีพแต่บางส่วนไม่ได้ ที่รุนแรงกว่านั้นคือคนที่ปิดชุมชนและปิดบ้านเพราะเมื่อติดโควิดแล้วไม่รู้ทำอย่างไร เราจึงดึงองค์กรต่างๆให้ความช่วยเหลือโดยโยงเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชนเข้ามาช่วยกันหนุนเสริม
“คนที่มีส่วนสำคัญในเรื่องนี้คือ อสม.ซึ่งมีอยู่กว่า 2 ล้านคน เขาเข้าถึงคนในทุกระดับ ถ้าเราติดอาวุธทางปัญญาและให้ความรู้เขา ตรงนี้คือทางออก เราพบว่าในชนบทมีการจัดการเรื่องโควิดดีกว่าในเมือง ทุกอย่างจะดีกว่านี้หากการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น หากอิงกรอบราชการแบบเดิมมีแต่เละเพราะมีช่องว่างและไม่ทันสถานการณ์”นายสุรเดช กล่าว
น.ส.ทองพูล บัวศรี ผู้จัดการโครงการครูข้างถนน มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า ในช่วงแรกของสถานการณ์โควิดเด็กไร้บ้านโดยเฉพาะต่างด้าวไม่มีที่ไหนรักษา เราพยายามหาพื้นที่เพราะเรามีข้าวของที่สมาชิกและเครือข่าย สนับสนุน แต่เด็กเร่ร่อนไม่มีที่พักและจะกลายเป็นคนที่แพร่โควิดทั่ว กทม.เพราะพวกเขาต้องตระเวนเดินทางตลอด ในที่สุดโรงพยายาบาลจุฬาภรณ์ได้รับเข้าไปตรวจโดยไม่มีการแยกครอบครัว
“ยังมีกรณีพ่อแม่ติดโควิด แต่เด็กไม่ติดและมาติดภายหลังจึงไม่รู้ว่าจะเอาเด็กไปไว้ที่ไหน ในที่สุดโรงพยาบาลจุฬาฯรับไปทั้งหมด ในขณะที่เราพยายามหาทางออกในการรักษา แต่ยังมีเด็กเร่ร่อนกลุ่มอื่นๆที่หิว เราระดมถุงยังชีพแจกไปเกือบ 6 หมื่นชุด”น.ส.ทองพูล กล่าว
นายอดิศร เกิดมงคล กล่าวว่า นับถึง 30 เมษายน 2565 มีแรงงานข้ามชาติติดโควิดกว่า 2 แสนคนหรือประมาณ 10% โดยช่วงแรกพบน้อยมากจึงเกิดข้อสงสัยเมื่อไปดูพบว่าคนกลุ่มนี้มีความเปราะบาง โดย เรื่องเศรษฐกิจ เช่นไม่ได้ค่าจ้างหรือได้น้อยลง ถ้าเป็นแรงงานไทยสามารถหางานใหม่ได้ไม่ยาก แต่แรงงานข้ามชาติมีข้อกำหนด เช่น ต้องหางานให้ได้ภายใน 30 วัน สิ่งที่เราพบว่ามีคนจำนวนมากที่เมื่อติดเชื้อก็ถูกให้ออกจากห้องพัก จึงต้องไปอยู่กับเพื่อน บางห้องเล็กๆอยู่กัน 10 คน ขณะที่ระบบการช่วยเหลือก็ทำไม่ได้
“ความเปราะบางมีตั้งแต่แรกเพราะวิธีคิดของรัฐไม่เห็นว่า คนกลุ่มนี้ต้องเข้าไปจัดการ นอกจากนี้กลไกรัฐจัดการไม่ได้ สิ่งที่เป็นความยากในกลุ่มแรงงานข้ามชาติเพราะเรามีอคติ และกลไกนโยบายเดิมที่มองเขามีปัญหา ที่น่าสนใจคือมีมายาคติบางอย่างมองเขาเป็นคนอื่น”นายอดิศร กล่าว
ขณะที่ตัวแทนครูโรงเรียนอิสลามแห่งหนึ่งกล่าวว่า โรงเรียนได้รับผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะโรฮิงญามาดูแล แม้คนเหล่านี้จะรอเดินทางไปประเทศปลายทาง แต่ไม่มีวีซาจึงไม่ได้รับการช่วยเหลือเท่าที่ควร มีนักเรียนจำนวนมากต้องเสียชีวิตเพราะโควิดและไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล จึงอยากเป็นเสียงแทนเด็กๆที่เป็นมนุษย์เหมือนเรา อยากให้ผู้ใหญ่ได้มองเห็นและให้การช่วยเหลือ
ทั้งนี้ในการประชุมสมัชชาครั้งนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มย่อยกลุ่มคนเปราะบางใน 5 กลุ่ม เช่นกลุ่มเข้าไม้ถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา กลุ่มหลากหลายทางเพศ กลุ่มสถานะบุคคล เป็นต้น โดยจะมีการรายงานผลสรุปกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มในเวทีใหญ่ในวันที่ 2 กันยายนนี้ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอระดับนโยบาย
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี