รองผู้ว่าฯ ทวิดา ตอบ 3 คำถามเรื่องกระบวนการของการบริหารจัดการในภาวะเร่งด่วนแบบข้ามกระทรวง
นางสาวทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค “Tavida Kamolvej” เกี่ยวกับกระบวนการของการบริหารจัดการในภาวะเร่งด่วนของสาธารณภัยด้วยการทำงานร่วมกันแบบข้ามกระทรวงและข้ามพื้นที่ โดยตั้ง 3 คำถามพร้อมคำตอบดังนี้ คำถามแรก “ทำไมผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่ประกาศเขตพื้นที่ประสบภัย ทั้งที่มีอำนาจในฐานะผู้อำนวยการสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร” ตอบ “การประกาศพื้นที่ประสบสาธารณภัย เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงเป็นการประกาศเพียงขอบเขตพื้นที่ที่มีภัยเกิดขึ้น แต่หากการจะใช้งบประมาณตาม พ.ร.บ.เงินทดรองราชการ จำเป็นต้องมีการรวบรวมข้อมูลภัย ขอบเขตพื้นที่ ลักษณะการเกิด ผลกระทบที่เกิดขึ้นในรายแขวง ตำบล เขต อำเภอ และต้องอาศัยอำนาจของอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการประกาศ “เขตการให้ความช่วยเหลือ” เพื่ออนุมัติการใช้งบประมาณให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นควรประกาศไปโดยพร้อมกันจะได้ประโยชน์และเร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้ทั้งผู้อำนวยการสำนักงานเขต สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย ส่งทีมมาประกบทำงานร่วมกันเพื่อเร่งรัดเต็มที่
คำถามต่อมา “แล้ว กทม. ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรประชาชนได้ด้วยตัวเองเลยหรืออย่างไร” ตอบ “นอกจากความพยายามในการระบายน้ำให้ได้เร็วที่สุด โดยประสานกับกรมชลประทานอย่างใกล้ชิด ในการกำกับเครื่องสูบน้ำในจุดต่างๆ โดยเฉพาะในจุดวิกฤต ที่อาจจะมีเครื่องมือบางอย่างที่ทำงานมาตลอด 24 ชั่วโมงแล้วมีหยุดไปบ้าง ก็ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกรมป้องกันฯ กรมชลประทาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้พยายามร่วมกันทำแผนการระบายน้ำที่กรุงเทพมหานครเองต้องไม่ให้เกิดผลกระทบไปยังพื้นที่ปริมณฑลที่มีปริมาณฝนหนักไม่แพ้กันด้วย”
ตอบเพิ่ม “ส่วนการให้ความช่วยเหลือนั้น ระหว่างรอการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากการทำเรื่องไปที่กรมป้องกัน กทม. ได้เร่งนำงบประมาณเหลือจ่ายที่มีอยู่ออกมาจัดความช่วยเหลือเต็มกำลัง ทั้งในการจัดกระสอบทราย ถุงยังชีพ การจัดสรรยาที่จำเป็น และสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างที่ระเบียบเอื้ออำนวย และสั่งการให้สำนักงานเขตจัดตั้งศูนย์พักพิง ศูนย์ให้ความช่วยเหลือ จุดให้บริการ (มีน้องๆ จากอาชีวะมาร่วมกับกองเครื่องกล กทม. ด้วย ขอบคุณมากนะคะ)การต่อสะพานไม้ให้ชุมชน และการให้นำหาบหามไปช่วยดูดน้ำในบางชุมชน”
คำถามที่สาม “กรุงเทพมหานครมีการพร่องน้ำในคลองไว้ก่อนแค่ไหน และมีการกั้นน้ำมากน้อยแค่ไหนตั้งแต่เริ่มต้น” ตอบ “ตั้งแต่เดือนมิถุนายน กทม. ได้รับคำเตือนจาก สทนช. และกรมอุตุนิยมวิทยา ว่าปีนี้มีความเป็นไปได้สูงที่น้ำเหนือและฝนจะชุกกว่าปกติตั้งแต่เดือนกันยายน ไม่ใช่ตุลาคม กทม. จึงเร่งการลอกคูคลองและระบบท่อของกรุงเทพมหานคร ให้สามารถรองรับได้เต็มศักยภาพของท่อ คือ 60 มม. (แต่ในช่วงที่ผ่านมา แต่ละวันมีฝนที่ตกลงมาเกินกว่า 100 มม. ติดต่อกันจนมีระดับน้ำฝนสะสมเกินกว่าค่าเฉลี่ยฝน 30 ปีไปมาก) ไปได้ถึงกว่าสามพันกม. แนวคันกั้นน้ำเหลือฟันหลออีกประมาณ 3 กม.ที่ กทม. กำลังดำเนินการต่อเนื่องในอีก 1.5 กม. ส่วนอีก 1.5 กม.ได้เตรียมกระสอบทรายไว้เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้น้ำเหนือที่ลงมาในช่วงนี้ กทม. ยังสามารถที่จะรับได้ แต่ปริมาณน้ำฝนที่มาก ที่ตกเหนือคลองในกทม. ด้วย ทำให้การระบายน้ำทำได้ช้ามาก ตลอดจนปริมณฑลที่ต่อเนื่อง เช่น รังสิต สมุทรปราการ ก็มีสถานการณ์อุทกภัยอยู่การระบายน้ำที่ต่อเนื่องกันจึงต้องทำร่วมกัน ค่อยแบ่งเบาซึ่งกันและกันด้วย”
“สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ทาง กทม.พยายามที่จะทำในทุกส่วนในทุกมิติให้เร็วแต่ก็ยังมีความผิดพลาดล่าช้าในบางพื้นที่แม้ติดตามแก้ไขให้ในภายหลังแต่ความเสียหายและความไม่สะดวกได้เกิดขึ้นขออภัยทุกคนจริงๆ ค่ะ พวกเราจะพยายามทำงานให้รอบคอบกว่านี้ และประสานสรรพกำลังล่วงหน้าให้มากขึ้นอีกจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นให้เร็วที่สุดค่ะ”นางสาวทวิดา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี