สธ.รายงานความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ฝีมือคนไทยล้วน โดยจุฬาฯ-บ.ใบยาฯ ผ่านทดลองระยะ 3 ขึ้นทะเบียนใช้ได้ภายในปี’67 ส่วนวัคซีนเชื้อตายที่“อภ.”ร่วมวิจัยกับสหรัฐฯขึ้นทะเบียนปี’66 ด้านวัคซีนชนิดหยอดจมูก (Ad-5 Wuhan)สวทช.ทดสอบพบกระตุ้นภูมิได้ดี ปลอดภัยในสัตว์ทดลอง อยู่ระหว่างผลิตวัคซีนในโรงงานต้นแบบ จะพัฒนาต่อเนื่องสำหรับรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคต ขณะที่ยอดติดเชื้อนอนรพ.ทรงตัวที่1,125ราย ตาย13 ปอดอักเสบ674คน
เมื่อวันที่ 15 กันยายน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งเป็นโครงการที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้รับจัดสรรงบกลางปี 2563 เพื่อดำเนินการใน 3 กิจกรรม วงเงินรวม 995.03 ล้านบาท
คาดได้ใช้วัคซีนสัญชาติไทยปี67
สำหรับความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนต้นแบบของไทยนั้น มี 3 กิจกรรม ประกอบด้วย 1.การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนชนิด Viral vector เพื่อทดสอบกระบวนการผลิตวัคซีนกลุ่ม Adenovirus ตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการระดับโรงงานต้นแบบ จนถึงระดับอุตสาหกรรมและรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตวัคซีนที่ได้มาตรฐาน งบประมาณดำเนินการ 596.24 ล้านบาท ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว 2.การพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำในประเทศไทยชนิด mRNA มีงบประมาณดำเนินการ 365 ล้านบาท มีการพัฒนาวัคซีน 2 รุ่น ประกอบด้วย วัคซีนรุ่นที่1 (1st Gen ChulaCoV -19, Wild-type) จะใช้เวลาเกินกว่าแผนเดิมที่มีกำหนดเสร็จสิ้นเดือนกันยายน ประมาณ 4-6 เดือน เนื่องจากมีการปรับกระบวนการผลิต ทำให้ต้องทดสอบเรื่องความปลอดภัยและความเป็นพิษในสัตว์ทดลองและในอาสาสมัครเพิ่มเติม เพื่อเทียบเคียงวัคซีนที่ผลิตในต่างประเทศ วัคซีนรุ่นที่ 2 (2nd Gen ChulaCoV-19;New variants) ที่ตอบสนองต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน โดยศึกษาในสัตว์ทดลอง จะดำเนินการถึงเดือนพฤษภาคม2566 3.การเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านสัตว์ทดลอง งบประมาณที่ได้รับ 33.79 ล้านบาท เพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบวัคซีนและยาในสัตว์ไพรเมท คาดว่าจะนำมาติดตั้งได้เดือนกันยายนนี้ และสามารถรับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพระดับที่ 3 ได้เดือนตุลาคม และสามารถทดลองใช้งานได้ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 – มกราคม 2566
“การพัฒนาวัคซีนโควิดชนิด mRNA ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและพัฒนาวัคซีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2566 จะเป็นการวิจัยคลินิกระยะที่ 3 จากนั้นเป็นขั้นตอนรับการอนุมัติขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และนำออกใช้ ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ(อว.) ได้รายงานว่าจะมีการอนุมัติภายในปี 2567”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
และว่า สำหรับวัคซีน Baiya SARS-CoV2-Vax ซึ่งผลิตจากโปรตีนใบยาสูบ เป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยคนไทยทั้งหมดคือ ระหว่างบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวง อว. รายงานว่าขณะนี้อยู่ระหว่างปรับสูตร เพื่อทดสอบทางคลินิกระยะที่2 จะศึกษาวิจัยระยะที่ 3 ต้นปี 2566 ก่อนจะขึ้นทะเบียนในปี 2567 เช่นกัน
วัคซีนเชื้อตายลุ้นขึ้นทะเบียนปี66
น.ส.ไตรศุลีกล่าวอีกว่า ด้านโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่ร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศคือ การพัฒนาวัคซีนโควิดชนิดเชื้อตาย NDV-HXP-S ซึ่งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับสถาบัน PATH สหรัฐฯ ดำเนินการวิจัยทางคลินิกระยะที่2 เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และจะเริ่มระยะที่ 3 ปลายปี 2565 นี้ และขึ้นทะเบียนภายในปี 2566
นอกจากนี้ กระทรวง อว.รายงานความคืบหน้าของวัคซีนชนิดหยอดจมูก (Ad-5 Wuhan) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ว่า ได้ทดสอบพบว่าสามารถกระตุ้นภูมิได้ดี ปลอดภัยในสัตว์ทดลอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิตวัคซีนในโรงงานต้นแบบ จะพัฒนาต่อเนื่องสำหรับรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคต
ติดเชื้อใหม่1,125-ตายลดเหลือ13
วันเดียวกัน ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์ระบาดโควิด-19 รายวันว่า ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ รักษาตัวในโรงพยาบาล 1,125 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศทั้งหมด ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 2,447,874 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 หายป่วยกลับบ้าน 1,024 ราย หายป่วยสะสม 2,459,815 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ผู้ป่วยกำลังรักษา 10,409 ราย โดยมีจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 674 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตรายใหม่ 13 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 10,893 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565
ผ่อนมาตรการทำไข้หวัดใหญ่ลาม
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เผยว่า ที่ผ่านมา การเข้มข้นมาตรการส่วนบุคคล ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และเว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันติดเชื้อโควิดส่งผลให้โรคติดต่อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ระบาดลดลงด้วย แต่ขณะนี้เริ่มพบว่าไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มระบาดเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตามปกติแล้วช่วงฤดูฝน เป็นการแพร่ระบาดตามฤดูกาลของโรคไข้หวัดใหญ่ จึงมีโอกาสพบผู้ป่วยจำนวนมากได้อยู่แล้ว ประกอบกับหลังผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด หลายคนลดความเคร่งครัดในการสวมหน้ากากอนามัย มีกิจกรรมที่คนรวมตัวกันและไม่สวมหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้น เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกัน มีโอกาสที่โรคติดต่อทางเดินหายใจ อย่างโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้น
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิดลดลงต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมามีการระบาดวงกว้าง ทำให้คนไทยมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ และยังฉีดวัคซีนไปแล้วกว่าร้อยละ 90 ทำให้มีภูมิคุ้มกันหมู่ สำหรับการลดการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ ทำได้ด้วยการเร่งตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง และเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ซึ่งกรมควบคุมโรคร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่บริการให้ฟรี ช่วยลดอาการหนักและเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงหากยังเข้มมาตรการป้องกันตนเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันได้ทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
อนามัยโลกชี้ โควิดใกล้จบ
ส่วนนายเท็ดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า โลกไม่เคยอยู่ในสถานะที่ดีไปกว่านี้ในการยุติการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด และถึงแม้เราจะยังไปไม่ถึงจุดนั้นตอนนี้ แต่เราพอมองเห็นจุดจบของโควิดแล้ว นอกจากนี้ กีบรีเยซุสยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆใช้ความระมัดระวัง และเปรียบโควิดเป็นเหมือนการแข่งมาราธอน และตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องวิ่งให้หนักขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะเข้าเส้นชัย เช่นเดีวกับ ประเทศต่างๆจำเป็นต้องพิจารณานโยบายของตนอย่างถี่ถ้วน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการรับมือกับโควิดและไวรัสอื่นในอนาคต พร้อมเรียกร้องให้ทุกประเทศฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนเสี่ยงสูง และทดสอบหาเชื้อต่อเนื่องต่อไป
ตค.ถกใหญ่ปลดพ้นโรคน่าวิตก
มาเรีย แวน เคอร์คอฟ นักระบาดวิทยาอาวุโสขององค์การอนามัยโลก คาดว่าอนาคตจะมีการติดโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้นอีกในช่วงเวลาต่างๆทั่วโลก ซึ่งอาจเกิดจากสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนหรือแม้แต่สายพันธุ์อื่น ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกจะประชุมพิจาณาว่า จะยังคงกำหนดให้การระบาดใหญ่ของโควิด เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่น่าวิตกกังวลระดับโลกต่อไปหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี