เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์กรณีข่าวนักเรียนหญิงอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนประจำแบบสหศึกษาแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ถูกนักเรียนชายอายุ 15 ปี ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศภายในหอพักกักตัวเด็กหญิงที่ติดโควิด-19 ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนจำนวนเกือบ 30 คน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 โดยผู้บริหารสถานศึกษาให้นักเรียนหญิงที่เป็นผู้เสียหายปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้น ด้วยไม่ต้องการให้โรงเรียนเสียชื่อเสียง ทำให้ผู้ปกครองไม่พอใจออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านสื่อและหน่วยงานภาคเอกชน ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นเป็นที่สนใจของสาธารณชนอย่างมาก และต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้วนั้น
กสม.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานศึกษา โดยได้เคยมีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนรวมทั้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง กรณีปัญหาความรุนแรงทางเพศต่อเด็กนักเรียนโดยครูหรือบุคลากรทางการศึกษาไปยังรัฐบาลเมื่อปี 2563 และในปี 2564 ยังพบว่ามีกรณีการกระทำรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศในสถานศึกษาเกิดขึ้นหลายกรณี
ดังปรากฏในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี 2564 โดย กสม.ได้มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลยกระดับการแก้ไขปัญหาการกระทำรุนแรงหรือล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กเป็นวาระเร่งด่วน และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาออกแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กอย่างเร่งด่วน อีกทั้งให้บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเด็กผู้เสียหายหรือได้รับผลกระทบ และดำเนินมาตรการให้สถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก และดำเนินการให้เด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้อย่างเหมาะสม
กสม.มีความห่วงกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทรวงศึกษาธิการจะสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งมีกลไกในการคุ้มครองสิทธิเด็ก อาทิ การจัดตั้งศูนย์ MOE SAFETY CENTER เพื่อจัดการปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยให้กับนักเรียน แต่ยังไม่เพียงพอต่อการป้องกันแก้ไขปัญหา กสม.จึงขอเสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อประโยชน์สูงสุดในการคุ้มครองสิทธิเด็ก ดังต่อไปนี้
1.กระทรวงศึกษาธิการ ต้องพัฒนาระบบฐานข้อมูลและมีมาตรการให้ผู้บริหารสถานศึกษาต้องรายงานข้อเท็จจริงกรณีเกิดการกระทำความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในสถานศึกษาภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่รายงานหรือมีการปกปิดต้องมีมาตรการลงโทษ
2.สถานศึกษาต้องนำเด็กไปรับการตรวจร่างกายและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทันที โดยประสานความร่วมมือกับศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ให้สหวิชาชีพเข้ามาร่วมในการสอบสวน ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือเด็กที่ถูกกระทำหรือได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำซ้ำ
3.กระทรวงศึกษาต้องจัดให้มีระบบเฝ้าระวังการกระทำความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในสถานศึกษา โดยจัดการอบรมสร้างความตระหนัก ให้กับอาสาสมัครนักเรียนและครูเฝ้าระวังการกระทำความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในสถานศึกษา อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคประชาสังคมและภาคเอกชน
4.มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดในสถานศึกษาเพื่อป้องปรามการกระทำความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในสถานศึกษา
5.กระทรวงศึกษาธิการควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ด้านสิทธิเด็ก ร่วมเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่เกิดขึ้น เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างรอบด้าน
6.ทุกหน่วยงานไม่ควรนำเด็กที่เป็นผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดมาแถลงข่าวหรือปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ
ทั้งนี้ เพื่อให้การปกป้องและคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นไปตามหลักการสิทธิมนุษยชน ข้อเสนอแนะของ กสม.และคณะกรรมการประจำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) กสม.จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ป้าร้อง ‘ปวีณา’ หลานสาวถูก นร.ชายข่มขืนที่ รร.ประจำแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบูรณ์
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี