ศาลปค.กลางยกฟ้อง ปม"ผู้ค้าของที่ระลึกข้างวิหารพระมงคลบพิตรอุยธยา"ฟ้องถูกไล่รื้อแผงค้า ชี้กรมศิลป์ฯ ทำโดยชอบด้วยกฎหมายเหตุบุกรุกโบราณสถาน
วันที่ 26 ธันวาคม 2565 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและผู้ค้าของชำร่วย ของที่ระลึก และอาหารบริเวณ ด้านข้างวิหารพระมงคลบพิตรวัดมงคลบพิตร จ.พระนครศรีอยุธยาจำนวน41ราย ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและพวกรวม6ราย กรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งไล่รื้อแผงค้าและชดใช้ค่าเสียหาย
โดยศาลฯเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 6 รวมถึงส่วนราชการต่างๆได้ใช้อำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดระเบียบการใช้พื้นที่ของวิหารพระมงคลบพิตรเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและสำเร็จลุล่วงโดยสมควรแก่พฤติการณ์แล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าพื้นที่บริเวณวิหารพระมงคลบพิตรและพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้ค้าก็รับว่าตนได้ประกอบการค้าอยู่บริเวณดังกล่าวมานานกว่า 60 ปี และไม่ใช่ผู้ประกอบการร้านค้าทรงไทย แต่เป็นผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้รับการผ่อนผันชั่วคราว คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาการพัฒนานครประวัติศาสตร์ ผู้ถูกฟ้องที่ 6ซึ่งถือว่าได้รับมอบอำนาจจากคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดระเบียบพื้นที่ร้านค้าบริเวณวิหารพระมงคลบพิตรและพื้นที่มรดกโลกอยุธยา
ประกอบกลับเมื่อพิจารณาภาพถ่ายแผงค้าที่พิพาทปรากฏลักษณะเป็นร้านค้าหรือสิ่งที่สร้างขึ้นซึ่งบุคคลสามารถเข้าใช้สอยได้ อันเป็นอาคารตามมาตรา 4 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร2522 โดยมาตรา 7 ทวิวรรคหนึ่ง พ.ร.บ.โบราณสถานโบราณวัตถุศิลปะวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ2504 บัญญัติ ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารภายในเขตของโบราณสถานซึ่งอธิบดีได้ประกาศขึ้นทะเบียนเว้น แต่ได้รับอนุญาตหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดี ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากรให้ก่อสร้างแต่อย่างใด การที่กรมศิลปากรผู้ถูกฟ้องที่ 5โดยอธิบดีกรมศิลปากร มีประกาศกรมศิลปากรลงวันที่ 27 มี.ค. 60 แจ้งผู้ประกอบการค้าที่ยังไม่ได้ขนย้ายสัมภาระออกจากเขตโบราณสถานและการที่คณะทำงานเฉพาะกิจฯได้แจ้งยุติการอำนวยความสะดวกเรื่องไฟฟ้าและประปาในบริเวณเต็นท์ร้านค้าหลังวิหารพระมงคลบพิตร การนำแท่งปูนแบริเออร์มาปิดกั้นจึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยาได้กระทำการใดเกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใดจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้พ้องคดีที่จะต้องรับผิดชดใช้สินไหมทดแทน
ส่วนที่อ้างว่ามีกลุ่มร้านค้าศาลาทรงไทยค้าขายอยู่ที่บริเวณโบราณสถานเช่นกัน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีกลับใช้อำนาจไล่รื้อเฉพาะแผงค้าของผู้ค้าที่ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการเลือกปฏิบัติเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มร้านค้าศาลาทรงไทย เห็นว่าการที่คณะทำงานเฉพาะกิจฯได้มีคำสั่งให้ผู้ค้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายสัมภาระออกจากพื้นที่เขตโบราณสถานเนื่องจากได้มีการบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่อาจอ้างว่าเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพื่อให้มีการเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะกิจหรือระงับการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหกได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี