สภาทนายความฯยื่นมือช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพประมงยื่นฟ้อง บ.เอกชนทำน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยอง กระทบระบบนิเวศและรายได้ เตรียมส่งทีมทนาย ลงพื้นที่ตรวจสอบ นายกสภาทนายฯ จ่อใช้ 5 มาตรการดูแล
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 ม.ค. ที่ห้องประชุมชั้น 4 สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถ.พหลโยธิน กลุ่มตัวแทนผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและอาชีพต่อเนื่องการประมง จ.ระยอง ประมาณ 30 คน เดินทางมายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือทางกฎหมายกับสภาทนายความ กรณีเกิดเหตุน้ำมันดิบใต้ทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกหรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเลของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รั่วไหลบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ทำให้ผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและอาชีพต่อเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานการประมงในอ่าวจ.ระยอง ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับระบบนิเวศและรายได้จากการประกอบอาชีพ โดยมี ดร.วิเชียร ซุปไธสง นายกสภาทนายความฯ นายสมพร ดำพริก อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย นายสัญญาภัชระ สามารถ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ และว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน ประธานอนุกรรมการ สิ่งแวดล้อมฝ่ายคดีและปฏิบัติการ สภาทนายความ เป็นผู้รับเรื่อง
ว่าที่ร้อยตรีสมชาย ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เรือบรรทุกน้ำมันบริษัทแห่งหนึ่งทำน้ำมันดิบ รั่วไหลลงอ่าวทะเล จ.ระยองเป็นวงกว้างระหว่างขนถ่ายน้ำน้ำมันกลางทะเล มากกว่า 4 แสนลิตร เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2565 ทำให้ผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านและอาชีพต่อเนื่อง ได้รับผลกระทบมีน้ำมันดิบกระจายเป็นวงกว้าง ถูกพัดเข้าชายฝั่ง
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ระบุว่า น้ำมันดิบแพร่ในทะเลกว้างกว่า 9 เท่า ของเกาะเสม็ด ทำให้ชาวบ้าน ชาวประมงได้ผลกระทบ ต่อทรัพยากรสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งที่ชาวประมงพื้นบ้านใช้เป็นที่ทำมาหากิน ผลของน้ำมันดิบรั่วไหลและการใช้ สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันในพื้นที่ ทะเลตื้นทำให้สัตว์น้ำหลายประเภทหายไปจากบริเวณทะเลอ่าวระยอง ซึ่งปัจจุบันเรือประมง หลายประเภทต้องจอดนิ่ง เนื่องจากไม่มีสัตว์น้ำให้จับส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อีก ทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องไปถึงห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้การประมงพื้นบ้านและเรือขนาดกลางที่หากิน ได้จากจุดที่น้ำมันดิบรั่วไหล ยังสร้างความหวาดระแวงต่อประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่จะตัดสินใจซื้ออาหารทะเล ทั้งที่เป็นวัตถุดิบและปรุงสำเร็จในจ.ระยอง
โดยกลุ่มชาวประมงจ.ระยองและเครือข่าย ที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดิบในครั้งนี้ ต้องการที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมเพื่อเจรจาหาข้อยุติร่วมกันระหว่างบริษัทก่อมลพิษ กับประชาชนที่ได้รับ ผลกระทบเพื่อให้ได้รับค่าเยียวยาที่เป็นธรรม เป็นการเรียกค่าชดเชยตามความเป็นจริงจากการสูญรายได้ที่ควรจะได้ โดยจากการได้รับความเสียหายในครั้งนี้กับทางบริษัทผู้ก่อเหตุยังมีการเยียวยาชดเชยให้ในจำนวนน้อย และระบุจะชดเชยจำกัดแค่เรือประมงที่ละเบียนไว้เท่านั้น จึงไม่เป็นเป็นธรรมกับผู้ทำประมงพื้นบ้าน ผู้ได้รับผลกระทบอื่น เกรงว่าจะมีการดึงเรื่องการชดเชยเยียวยาจนหมดอายุความในการเรียกร้องค่าเสียหาย
อย่างไรก็ตามมีประเด็นที่น่าสนใจซึ่งเป็นข้อเสนอของชาวบ้านในพื้นที่ว่า เมื่อการขนส่งขนถ่ายน้ำมันดิบทางทะเลเกิดการรั่วไหลบ่อยครั้ง เหตุใดทางนิคมอุตสาหกรรม หรือ กรมเจ้าท่า ไม่หารือวิธีเปลี่ยนวิธีการขนส่งน้ำมันเป็นทางบกแทน
ด้านดร.วิเชียร นายกสภาทนายความฯ กล่าวว่า กรณีนี้ส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มประมงพื้นบ้าน จำนวนเรือกว่า 150 ลำ ,กลุ่มพ่อค้า แม่ค้า ที่ขาดทุนจากการค้าขายสัตว์น้ำที่ซื้อต่อจากเรือประมงและขายไม่ได้ จำนวน กว่า 50 คน และกลุ่มลูกจ้างเรือประมง จํานวนกว่า 50 คน จากนี้สภาทนายความฯ จะตั้งทีมทนายความลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบ รวมไปถึงผลกระทบด้านสุขภาพอีกด้วยว่า การรั่วน้ำมันดิบส่งผลระยะสั้น ระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างไรหรือไม่
โดยเบื้องต้นสภาทนายความฯได้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายไว้ ดังนี้
1. ใช้สิทธิในการเรียกร้องให้บริษัทที่เกี่ยวข้อง ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 96 และ 97
2. ดำเนินการให้ประชาชนผู้เสียหายตั้งตัวแทนสมาชิกกลุ่มเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่ม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เนื่องจากจะไม่เป็นการซ้ำซ้อนในการยื่นฟ้องคดีและเป็นการ ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการดำเนินคดีที่ศาล
3. ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในทางคดี (การไกล่เกลี่ยในคดีสิ่งแวดล้อม) ตามพ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย พ.ศ. 2562
4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ความรับผิดเพื่อละเมิด (มาตรา 420) ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขา เสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด (มาตรา 438) ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัย ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
อนึ่ง! ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
5. แนวทางในการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 96 ระบุว่า แหล่งกำเนิดมลพิษใดก่อให้เกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดของการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษอัน เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพอนามัย หรือเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของรัฐเสียหาย ด้วยประการใดๆ เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษนั้น มีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือ ค่าเสียหายเพื่อการนั้น ไม่ว่าการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษนั้น จะเกิดจากการกระทําโดยจงใจหรือประมาท เงินเล่อของเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือไม่ก็ตาม เว้นแต่ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่ามลพิษเช่นนั้นเกิดจาก (1) เหตุสุดวิสัยหรือการสงคราม (2) การกระทำตามคำสั่งของรัฐบาลหรือเจ้าพนักงานของรัฐ (3) การกระทำหรือเว้นการกระทำของผู้ที่ได้รับอันตรายหรือความเสียหายเองหรือบุคคลอื่น ซึ่งมีหน้าที่ รับผิดชอบโดยตรงหรือทางอ้อม ในการรั่วไหลหรือการแพร่กระจายของมลพิษนั้น ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย ซึ่งเจ้าหน้าที่หรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตาม วรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางราชการต้องรับภาระจ่ายจริงในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นนั้นด้วย โดยคดีมีอายุความ 10 ปี
ตามมาตรา 97 ผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลายหรือทำให้ สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐ หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไป
-001