"ลูกจ้างทำงานบ้าน"ขอภาคการเมือง ดันเข้าสิทธิประกันสังคม"ม.33" ชึ้มีนายจ้างชัดเหมือนแรงงานอื่นๆ
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) จัดเวทีสาธารณะ “นโยบายขายประกันสังคมมาตรา33 ให้ครอบคลุมลูกจ้างทำงานบ้าน” ที่ รร.แกรนด์พาลาซโซ กรุงเทพฯ ย่านรัชดาภิเษก โดย นางพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่า ครัวเรือนไทยที่มีลูกจ้างทำงานบ้าน ส่วนใหญ่จะบอกว่าดูแลลูกจ้างทำงานบ้านเหมือนคนในครอบครัว แต่จริงๆ เรื่องนี้เป็นเพียงมายาคติ
โดยลูกจ้างทำงานบ้าน ที่เรียกว่าเมด (Maid) บ้าง คนใช้บ้าง แต่ในช่วง 10 ปีมานี้ มีการต่อสู้จนภาครัฐเลิกใช้คำอื่นๆ ข้างต้น แต่ใช้คำว่าลูกจ้างงานบ้าน แต่การตอสู้นั้นยังไปไม่ไกลเพราะลูกจ้างทำงานบ้านยังขาดหลักประกันความมั่นคง หลายคนเจ็บป่วยก็ต้องรักษาตนเอง เมื่อตั้งครรภ์ก็ต้องลาออกไปคลอดลูก เมื่อสูงอายุก็ไม่มีบำเหน็จบำนาญ ลูกจ้างทำงานบ้านจึงประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิต หรือเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ลูกจ้างทำงานบ้านหลายคนถูกเลิกจ้าง หรือถูกลดเวลาทำงาน แต่ไม่มีการชดเชยว่างงานสำหรับลูกจ้างกลุ่มนี้
“ในกลุ่มอาเซียนเองได้มีการประชุมร่วมกัน พวกเราก็ได้เข้าร่วมประชุม ในกลุ่มประเทศอาเซียนก็ยอมรับว่าลูกจ้างทำงานบ้านเป็นคนทำงาน (Domestic Worker is Worker) เราก็เป็นคนทำงานคนหนึ่งเหมือนกับแรงงานทั่วๆ ไป เรามีนายจ้างที่มีตัวตน ฉะนั้นนายจ้างที่มีตัวตนชัดเจน ฉะนั้นเราควรได้รับสิทธิ์และสวัสดิการเหมือนเช่นแรงงานอื่นๆ ทั่วไป ทำไมสิทธิ์และสวัสดิการเหมือนกับแรงงานทั่วๆ ไปเราถึงยังไม่ได้” นางพูลทรัพย์ กล่าว
นางพูลทรัพย์ กล่าวต่อไปว่า ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เครือข่ายลูกจ้างงานบ้านในประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ จึงจัดเวทีเรื่องนโยบายขายประกันสังคมมาตรา33 ให้ครอบคลุมลูกจ้างทำงานบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจกับพรรคการเมืองและว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่อาสามาทำงานสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคม ได้เข้าใจว่าการขยายประกันสังคมไปสู่ลูกจ้างทำงานบ้านมีความสำคัญต่อทั้งลูกจ้างและนายจ้าง
ที่สำคัญ ปัจจุบันไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องอาศัยลูกจ้างทำงานบ้านจำนวนมาก คนเหล่านี้ต้องดูแลทั้งผู้สูงอายุคือพ่อแม่ปู่ย่าตายาย และดูแลเด็กคือลูกของเรา ซึ่งทั้งผู้สูงอายุและเด็กที่ว่านี้ล้วนเป็นคนที่เรารัก ดังนั้นเมื่อลูกจ้างทำงานบ้านมาดูแลคนที่เรารัก เขาจึงควรได้รับการดูแลเช่นกันให้ได้สิทธิและสวัสดิการเท่าเทียม เป็นความตระหนักและหน้าที่ที่ควรทำ ตนเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองและผู้สมัคร ส.ส. ได้เข้าไปในสภา หากได้เข้าใจเรื่องนี้ก็จะไปช่วยผลักดันให้
ภายในงานยังมีการเปิดคลิปวีดีโอบันทึกการให้ความเห็นในประเด็นนี้ไว้ล่วงหน้า อาทิ นางมาลี สอบเหล็ก ผู้นำเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้าน ประเทศไทย กล่าวว่า การให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าถึงประกันสังคมมาตรา 33 มีความสำคัญ เพราะลูกจ้างทำงานบ้านเกือบ 100% เป็นผู้หญิง แต่กลับเข้าไม่ถึงสิทธิการคุ้มครองในฐานะเป็นมารดา เช่น สิทธิเมื่อตั้งครรภ์ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การตกงานหรือประสบอุบัติเหตุ ก็ไม่มีหน่วยงานใดมาดูแล หรือก็คือลูกจ้างทำงานบ้านเป็นแรงงานแต่กลับถูกมองว่าไม่เป็นแรงงาน ทั้งที่ลูกจ้างทำงานบ้านมีนายจ้างชัดเจน
“ชั่วโมงการทำงานของเราก็ไม่ถูกกำหนด ฉะนั้นเราก็ไม่ทราบว่าในอนาคตที่เราทำงานไปจะเกิดอุบัติเหตุหรือว่าจะเจ็บป่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่เรายได้ที่เราได้รับค่อนข้างจะต่ำ เพราะไม่มีการกำหนดชั่วโมงทำงาน ไม่มีค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล คลอดลูก บางครั้งคลอดลูกเราก็ต้องตกงาน ต้องออกไปเลี้ยงลูกเพื่อให้ลูกแข็งแรงพอสมควร กว่าจะได้กลับมาทำงานใหม่ก็ต้องใช้เวลา แล้วระยะเวลาที่เราออกไปจะอยู่กันอย่างไร แต่ถ้าเราเข้าประกันสังคมมาตรา 33 อย่างน้อยสิทธิประโยชน์ 7 อย่างก็ยังช่วยได้ในระดับหนึ่ง” นางมาลี กล่าว
นางศิริวรรณ ร่มฉัตรทอง ตัวแทนองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย (ECOT) กล่าวว่า เห็นด้วยกับการให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าระบบประกันสังคมมาตรา 33 เพราะอย่างน้อยก็เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทำงานที่จะมีความมั่นคงในอนาคต เพราะสิทธิประโยชน์ในมาตราดังกล่าวก็มีหลายอย่างที่คนทำงานอาจได้ใช้ แต่การไปเข้ามาตรา 33 สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการทำความเข้าใจทั้งนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินสมทบและลูกจ้างที่ต้องถูกหักเงินทุกเดือน โดยหากลูกจ้างเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุต้องมีค่าใช้จ่ายสูงกองทุนก็จะช่วยเหลือได้ แต่ก็ต้องลดอุปสรรคในการจ่ายด้วย
“ระบบเอกสารในการจ่ายประกันสังคมไม่ใช่ง่าย ยุ่งเหยิง ขนาดมาตรา 33 ของสถานประกอบการ ก็จะต้องยุ่ง มีพนักงานจัดแจงเรื่องเอกสารโดยเฉพาะ แล้วสำหรับบ้านคนธรรมดาก็อาจจะเป็นเรื่องลำบากอยู่เหมือนกัน ทำอย่างไรเราจึงจะแน่ใจว่าเงินที่เขาได้จ่ายมันจะต่อเนื่อง เพราะนายจ้างจ่ายคนนี้จบก็จบ แต่ลูกจ้างทำอย่างไรเขาถึงจะได้สิทธิและความต่อเนื่อง อันนี้ก็คงเป็นเรื่องที่คิดกันในระยะยาวว่าจะทำอย่างไร ในหลักการเห็นด้วย แต่วิธีกาคงต้องมาพูดคุยรับฟังความคิดเห็นทั้งนายจ้างและลูกจ้าง” นางศิริวรรณ กล่าว
นายพงษ์ฐิติ พงศ์ศิลามณี ตัวแทนจาก สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวว่า จำเป็นต้องให้ลูกจ้างทำงานบ้านเขาระบบประกันสังคมมาตรา 33 เพราะเขาก็คือคนงานประเภทหนึ่ง จึงต้องสร้างหลักประกันการคุ้มครองทางสังคมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของงานที่มีคุณค่า ซึ่งในขบวนการแรงงานมีความพยายามขับเคลื่อนให้คนทำงานได้ทำงานในลักษณะที่มีการจ้างงานแบบที่มีคุณค่าได้ โดยหนึ่งในองค์ประกอบนั้นก็คือควรจะมีหลักประกันทางสังคมให้กับคนงาน
“ในหลายๆ ประเทศเขามองว่า คนงานในลักษณะที่เป็นแรงงานนอกระบบเป็นแรงงานที่ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ในประเทศเราจำแนกด้วยนโยบายของภาครัฐ ไม่ให้อยู่ภายใต้หลักของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน อันนี้คือสิ่งที่แย่ของแนวคิดในเรื่องของการจัดการลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย พอถูกจำแนกออกไปเป็นกลุ่มที่ไม่ไดรับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ก็เลยทำให้สิทธิต่างๆ ที่ลูกจ้างทำงานบ้านจะได้รับขาดหายไป หนึ่งในสิทธินั้นก็คือการสมัครเข้ารับการคุ้มครองตามหลักประกันสังคม” นายพงษ์ฐิติ ระบุ
น.ส.จำปา (Kyan Par) ผู้นำเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านข้ามชาติ เปิดเผยว่า ตนเป็นลูกจ้างทำงานบ้านอยู่ในประเทศไทยมา 30 ปีแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยมีประกันอะไรที่จะมาดูแลช่วยเหลือเลย ขณะเดียวกัน ตนทำงานตรงนี้ 30 ปี ได้รับเงินเดือนทุกเดือน นั่นเท่ากับตนก็มีนายจ้างเป็นตัวตนมาตลอด 30 ปีเช่นกัน ส่วนคำถามที่ว่าลูกจ้างทำงานบ้านจะส่งเงินสมทบไหวหรือไม่ ตนยืนยันว่าไหวแน่นอนและอยากส่งด้วยเพื่อให้สามารถดูแลตนเองและบุตรหลานได้
“เราอยากเป็นลูกต้างที่ดี ถึงแม้เราจะเป็นแรงงานข้ามชาติเราก็เข้ามาอย่างถูกต้อง มีเอกสารถูกต้อง ซึ่งเราก็เข้าไปในระบบประกันสังคมอย่างถูกต้อง เราอยากจะเป็นแบบนี้ ประกันสังคมสำคัญแน่นอน ช่วงเวลาโควิดที่ตกงาน เป็นลูกจ้างทำงานบ้านตกงานเยอะมาก และไม่มีหน่วยงานอะไรมาช่วยเหลือพวกเรา ตอนนั้นเราก็รู้สึกได้ว่า ถ้าเราเข้าไปในประกันสังคมได้ ช่วงเวลานั้นเราอาจจะรอดได้ ช่วงโควิดลูกจ้างทำงานบ้านลำบากกันมาก” น.ส.จำปา กล่าว
ภายในงานยังมีการบรรยายเรื่อง “ประสบการณ์การประกันสังคมของลูกจ้างทำงานบ้านในต่างประเทศ” โดย นายนูโน เมรา ซิโมส คุนยา (Mr.Nuno Meira Simoes Cunha) จากองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รวมถึงมีตัวแทนจากพรรคการเมืองร่วมรับฟังและให้ความเห็น อาทิ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า นางรฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์ หัวหน้าพรรคเสมอภาค น.ส.วันวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายสาวิทย์ แก้วหวาน หัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย และ น.ส.ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี