"โรม"ให้ปากคำคณะกก.สอบสวนคดี"สว.คนดัง"นำพยานหลักฐานยื่นมัด จี้ออกหมายจับหวั่นคดีล้ม ด้าน“วัชรินทร์”รอง อธ.อัยการการสอบสวน ปัดคดีล่าช้ากำลังเร่งสอบ จ่อเรียก สว.คนดังมาสอบ คาดสิ้นเดือนนี้เสร็จ เสนอ อสส.สั่งคดีได้ ขณะที่“โกศลวัฒน์”รองโฆษก อสส.ยันอัยการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 21 มี.ค.66 ที่สำนักงานอัยการการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนบรมราชชนนี นายรังสิมันต์ โรม อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล เดินทางมาให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบสวนคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.3 บช.ปส.) ที่นายรังสิมันตร์ โรม กล่าวหาส.ว.คนดัง เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและฟอกเงินที่ก่อนหน้านี้ อัยการคดียาเสพติได้ยื่นฟ้องนาย ทุน มิน ลัต นักธุรกิจชาวเมียนมากับพวกรวม 5 คน
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมไม่มีใครมีสิทธิพิเศษ ตนมั่นใจในพยานหลักฐานที่มีแต่คนในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายควรทำตัวเองให้มีประโยชน์ด้วยไม่ใช่ปล่อยให้คดีเฉื่อยชาเป็นแบบนี้ แล้วถ้าตนจำไม่ผิดคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร เมื่อเดือน ม.ค. นี้เอง จนถึงก่อนที่มีความชัดเจนเหตุใดตำรวจ บช.ปส.ปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้
"ตนคาดหวังว่าพนักงานอัยการจะทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ดูจากการที่ท่านอัยการสูงสุด ปฏิบัติงานมาตนก็ค่อนข้างมีความคาดหวัง เพราะดูแล้วท่านก็ให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรม ก็หวังว่าคดีนี้ทางอัยการสูงสุดจะให้ความสำคัญเช่นกัน มิฉะนั้นอาจจะถูกคนครหาไปต่างๆนานาที่จะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม ถ้าตนเป็นอัยการหรือตำรวจตอนนี้ตนออกหมายจับ สว.ทรงเอ ไปแล้ว เพราะถ้าเกิดการหลบหนีขึ้นมาใครรับผิดชอบ ทางอัยการสูงสุดรับผิดชอบไหวไหม ทางบช.ปส.รับผิดชอบไหวหรือไม่และตนบอกไว้เลยถ้าเกิดถึงตอนนั้น คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เดือดร้อนแน่นอน" นายรังสิมันตร์กล่าว
เมื่อถามว่ามั่นใจหลักฐานที่นำมาหรือไม่ เมื่ออีกฝ่ายก็ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์คดีอาญาเช่นกัน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะดำเนินคดี ทางตนก็มีพยานหลักฐานที่เห็นอยู่นี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยที่จริงแล้วอัยการมีหลักฐานมากกว่าตนเป็นลังๆ คิดง่ายๆว่านายทุน มิน ลัตโดนอย่างไร สว.ทรงเอก็ควรโดนอย่างนั้น เพราะพยานหลักฐานชุดเดียวกัน แล้วที่อ้างว่าในช่วงโควิดนั้นด่านต่างๆมีการปิดตนต้องขอบอกว่า ยังมีอีกหลายวิธีการ และมีการโอนเงินได้ในช่วงนั้น การที่ สว.ทรงเอจะอธิบายชี้แจงอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ตนก็ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของตนได้ทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อภิปรายในสภา ตนเป็นห่วงว่าสุดท้ายจะเกิดการล้มคดีนี้
ถามว่า มีการยุบสภาไปแล้วทางนายรังสิมันต์ก็จะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองทางกฎหมายจะมีผล ต่อการสู้ในเรื่องต่างๆหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทันทีที่ปิดสมัยประชุมก็จะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับตอนออกหมายจับ สว.ทรงเอก็ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นกัน ดังนั้นถ้าตั้งแต่วันนั้นก็สามารถออกหมายจับได้ ไม่ได้เป็นการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติอย่างไร
ทั้งนี้ ตนไม่ได้เป็นส.ส.แล้วก็คงมีข้อจำกัดในเรื่องที่ตนต้องให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งด้วยก็ต้องแบ่งเวลาจัดการบริหารมากกว่า แต่ในเรื่องนี้ตนก็ยังจะเดินหน้าต่อไป และตนก็มั่นใจว่าแค่ดูพยานหลักฐานที่ตนมี เราสามารถนำทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้แล้ว ต่อไปก็เป็นการพิจารณาของศาลทำหน้าที่ ว่าสุดท้ายจะจบอย่างไร
ด้านนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานอัยการร่วมสอบสวน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายรังสิมันต์ได้เคยยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐาน 13 ฉบับ อัยการสูงสุดซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในความผิดนอกราชอาณาจักรตาม ป.วิอาญามาตรา 20 จึงได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการสอบสวนกับ บก.ปส.3 บช.ปส. ร่วมกันเป็นพนักงานสอบสวน เเละคณะพนักงานสอบสวนประชุมร่วมกันเเล้วเห็นว่าเมื่อนายรังสิมันต์ อ้างว่ามีพยานหลักฐานดังกล่าว คณะทำงานสอบสวนจึงเรียกมา
สอบในฐานะพยานและให้ยื่นเอกสารเข้าสู่สำนวนการสอบสวน เพื่อที่จะได้เป็นการสอบสวนที่ถูกต้องเป็นระบบ ผ่านชุดพนักงานสอบสวนที่อัยการสูงสุดได้ตั้งขึ้น
สำหรับความคืบหน้าในคดีขณะนี้มีอยู่ 2 ส่วน คือคดีนายทุน มิน ลัต กับพวกซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญา
ส่วนที่ 2 เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกันเราก็เลยรวบรวมพยานหลักฐานใหม่ พร้อมทั้งอาศัยพยานหลักฐานในชุดเดิม รวมถึงการสอบสวนเพิ่มเติมใหม่ จากเดิมที่อัยการสูงสุดได้สั่งสอบเพิ่มเติมไว้ 4 ประเด็น ซึ่งได้ทำการสอบหลักฐานสำคัญเสร็จไปเเล้ว 3 ประเด็น โดยตั้งแต่ได้รับมอบหมายตั้งเเต่เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ทางคณะทำงานงานก็ทำงานกันมาตลอด ยืนยันว่าไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด และในช่วงอีก 2-3 วันนี้ คณะทำงานสอบสวนก็จะเดินทางไปสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ด้วย ซึ่งภายในเดือนนี้คาดว่าสรุปสำนวน เสนอไปยังอัยการสูงสุดพิจารณาซึ่งยืนยันว่าจะทำสำนวนให้รวดเร็วที่สุด
“คดีนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักรเป็นไปตาม ป.วิอาญามาตรา 20 เป็นอำนาจ ของอสส.สั่งคดีแต่เพียงผู้เดียว คณะทำงานจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ดีที่สุดเพื่อนำเสนอ โดยจะพยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้เสร็จในสิ้นเดือนนี้ ให้อสส.เป็นผู้พิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่อย่างไร “
เมื่อถามว่าจะต้องเรียกส.ว.คนดังกล่าวมาสอบสวนด้วยหรือไม่ นายวัชรินทร์ กล่าวว่า แน่นอน ถ้าพยานหลักฐานที่กำลังจะเดินทางไปสอบสวนนี้เเล้วเสร็จ จะนำพยานหลักฐานที่เสร็จสิ้นแล้วมาเพื่อสอบสวนต่อ เราจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดให้ครบถ้วนก่อนแล้วค่อยพิจารณาว่า มีการได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ จึงค่อยจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา เพราะถ้าเราไปแจ้งข้อกล่าวหาก่อนที่จะมีพยานหลักฐานก็ไม่ถูก ระยะเวลาต่างๆตามกฏหมาย มันจะมีระยะเวลาในการทำงานตาม ป.วิอาญา มาตรา 143 แต่ถ้าเราสอบสวนพยานทุกอย่างเสร็จสิ้นชัดเจนเเล้ว ตรงนี้มันจะเป็นแนวทางการสอบสวนที่ถูกต้องก็คือ การสอบทั้งสองฝ่ายทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเรียกว่าจะต้องดูพยานหลักฐานที่คณะทำงานกำลังทำกัน
ขณะที่ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า วันนี้อัยการได้เชิญนายรังสิมันต์ มาให้ถ้อยคำ จากการที่นายรังสิมันต์ ได้ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดขอส่งหลักฐานเอกสาร เพื่อประกอบการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2566 โดยขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาพยานหลักฐานที่นายรังสิมันต์ อ้างถึงทั้งหมดตามเอกสารเพื่อพิจารณาในการสั่งคดีที่มีการกล่าวหาซึ่ง อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้สำนักงานการสอบสวนพิจารณาดำเนินการ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อัยการสำนักงานการสอบสวนได้ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนบก.ปส.3 บช.ปส. คณะทำงานของอัยการและพนักงานสอบสวนจึงพิจารณาประชุมร่วมกันและเชิญนายรังสิมันต์ โรม มาให้ถ้อยคำและส่งมอบเอกสารต่างๆที่อ้างถึงเข้าสู่สำนวนการสอบสวน ในวันนี้ โดยมีนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนและนายวัชรินทร์ภาณุรัตน์ รองอธิบดีฯ เข้าร่วมกำกับการสอบสวน พร้อมกับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 บช.ปส. โดยสำนักงานอัยการสูงสุดจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามพยานหลักฐาน ตามนโยบายของอัยการสูงสุดในการใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสังคมโดยเคร่งครัด.-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี