"บิ๊กต่อ" เปิดไทม์ไลน์ปฏิบัติการ สยบหนุ่มคลั่งกราดยิงเมืองเพชรบุรี ชื่นชมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใจเกิน100 แนะสื่อ งดเสนอข่าวเชิงบวกของคนคุ้มคลั่ง อาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
วันที่ 23 มีนาคม 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงปฏิบัติการ สยบชายคุ้มคลั่ง ก่อเหตุใช้อาวุธปืน ยิงผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวาน (22 มี.ค.66) ที่ผ่านมา ว่า ปฏิบัติการเมื่อคืนจบด้วย คนร้ายถูกวิสามัญ เนื่องจากเขาต่อสู้ พร้อมเล่าย้อนเหตุการณ์ว่า ตนเองทราบข่าวเมื่อประมาณ 16.00 น. แต่ก็ติดภารกิจสำคัญอยู่ และก็ได้คุยกับ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. โดย ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เดินทางไปก่อนแล้ว รวมทั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ลงมาอำนวยการสั่งการด้วย โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ตนเองเดินทางไป ดูสถานการณ์ที่จุดเกิดเหตุ ก็เดินทางโดยรถยนต์แต่ก็จะช้าบริเวณถนนพระราม 2 เพราะมีการก่อสร้างถนน
เมื่อไปถึงยังจุดเกิดเหตุ ปัญหาแรกที่เห็น คือ คนที่ถูกยิงเสียชีวิตอยู่หน้าบ้าน ยังไม่สามารถนำศพออกมาได้ ตนเองสั่งการตั้งแต่ตอนเย็นก่อนที่จะเดินทางไปว่าอยากให้นำคนเจ็บหรือผู้ที่เสียชีวิตเอาออกมาให้ได้ก่อนก็มีความพยายามที่จะนำ 3 คนออกนี้ ออกมาปรากฏว่า รถตำรวจที่เข้าไปก็โดนยิง ตำรวจโดนยิงที่แก้ม และรถหุ้มเกราะไม่มี ในเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องของปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งส่วนตัวก็รับปัญหานี้มา จะได้นำเรียน ผบ.ตร. จัดหาอุปกรณ์ช่วย
จากนั้นได้นำรถหุ้มเกราะ ของคอมมานโดเข้าไป โดยการใช้รถหุ้มเกราะเป็นกำบังและชุดปฏิบัติการพิเศษเดินด้านข้าง โดยมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิขึ้นท้ายรถจนสามารถนำผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุได้และไม่มีการยิงปะทะต่อสู้ในช่วงที่มีการเข้าไปนำผู้เสียชีวิตออกมา
จากการสอบสวน ทราบว่า ผู้ก่อเหตุกับผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิต 2 คนแรก เป็นคู่กรณีกันในเรื่องของการทะเลาะวิวาทและทำลายร่างกาย ซึ่งเมื่อวานนี้ (22 มี.ค.66) เป็นการสืบพยานในชั้นศาลเป็นครั้งที่ 3 โดยคืนก่อนเกิดเหตุผู้ก่อเหตุรายนี้ได้ไปดื่มเหล้ามาจนเมาพอตอนเช้า มีกำหนดจะต้องเดินทางไปศาลโดยแม่ของผู้ก่อเหตุ ได้เดินทางไปรอที่ศาลก่อนแล้ว แต่ตัวเขาไม่ไป แต่กลับมาก่อเหตุยิงคู่กรณี ดังกล่าว จากการชันสูตรของแพทย์ทราบว่า ผู้เสียชีวิตคนแรกที่เป็นคู่กรณีกัน ถูกยิง 6 นัด กระสุนเข้าที่ต้นคอ กลางศีรษะ ส่วนอีกรายที่เป็นพยานในคดีถูกยิง 15 นัด ถูกยิงจนหมดแม็กกาซีนและในจังหวะนั้น มีพนักงานขับรถส่งของผ่านมาถูกยิงอีก 8 นัดทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วย. นอกจากนี้ ยังมี นายก อบต.ต้นมะม่วง ขับรถผ่านมาก็ถูกยิงกระสุนเฉี่ยวเข้าที่ลำคอได้รับบาดเจ็บ รวม้หตุการณ์เมื่อวานนี้ มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ และบาดเจ็บ3 ราย
จากนั้นในเวลา ประมาณ 1.00 น. บริเวณบ้านของผู้ก่อเหตุมี 2 ชั้น ผู้ก่อเหตุเหมือนได้รับการฝึกมาและเป็นนักยิงปืนที่ยิงแบบ Double Tap หรือยิงแบบ 2 นัด คนร้ายมีการใช้ผ้าม่านปิดหน้าต่างไว้ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้วิธีการค้นหาว่าผู้ก่อเหตุอยู่บริเวณจุดไหนของตัวบ้าน จากนั้นเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ เวลา 1:00 น. โดยให้ทีมปฏิบัติการพิเศษ ค้นหาตัวโดยการใช้กล้อง termal และใช้ตัวมาร์คแมน ในการส่องกล้องจนรู้ว่าผู้ก่อเหตุ อยู่ที่ชั้น 2 เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าผู้ก่อเหตุไม่ได้อยู่ชั้นล่างแน่นอน เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจบุกเข้าจู่โจม ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมชุดปฏิบัติการของ อินทรีย์ ของภาค 7 และนเรศวร 261 และตัวที่คัดจากคอมมานโดไป รวมถึงกองสืบภาค 7 ที่หัวใจเกินร้อย ต้องขอชมเชยการปฏิบัติงาน เพราะเดินเข้าหาอาวุธปืนจริงๆ เนื่องจากผู้ก่อเหตุก็ดักรอ เจ้าหน้าที่อยู่แล้วและเป็นไปตามคาดการณ์ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์ที่ชั้น 1 ได้ พอขึ้นไปชั้น 2 เป็นมุม Dead Zone จังหวะที่จะขึ้นไป ผู้ก่อเหตุก็ยิงสวนมาแต่กระสุนถูกโล่กำบัง โดยคนร้ายยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ทั้งหมด ประมาณกว่า 30 นัด เพราะเห็น แม็กกาซีน ขนาด 9 มม.ตกอยู่ถึง 2 แม็ก
โดยมือปืนคนที่ก่อเหตุหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพระ และโดนกระสุนลูกซอง ยิงตามร่างกาย นอนเสียชีวิตในลักษณะคว่ำหน้า ในครั้งนี้ไม่ได้ใช้ปืนที่เป็น 5.56 เพราะ พื้นที่เกิดเหตุเป็นเขตเมือง เกรงว่ากระสุนจะทะลุ ไปถูกพี่น้องประชาชนแต่ เจ้าหน้าที่ก็บริหารจัดการพื้นที่ เคลียร์คนออก นอกบริเวณพื้นที่เพราะห่วงประชาชนจะไม่ปลอดภัย โดยปฏิบัติภารกิจเสร็จเมื่อช่วงเวลาประมาณตี 4 เข้าไปตรวจสอบในห้องสุดท้ายเป็นห้องพระ เห็นคนร้ายนอนเสียชีวิตง จากนั้น ได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับแพทย์เข้ามาชันสูตรพลิกศพ ร่วมกับอัยการและฝ่ายปกครอง
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวย้ำว่า หากเป็นเคส Active shooter คือ เจอใคร ก็จะยิงไปทะวโดยไม่สนใจ เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าปฏิบัติการตั้งแต่ครั้งแรกแต่ เคสนี้ ไม่ใช่ Active shooter เพราะเขาเลือกยิงคู่กรณีก่อน ส่วนอีก 2 คนมาเห็นเหตุการณ์ก็จำเป็นต้องยิง แต่ไม่ได้ยินแบบมั่วซั่ว ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ยุทธวิธี ในการเจรจา มีเวลาให้แม่ของผู้ก่อเหตุมาเจรจาต่อรอง แต่เขาก็ไม่ฟัง ตัดการติดต่อ ทั้ง Facebook ออกทั้งหมดและยิงปืนออกมาเป็นระยะจึงตัดสินใจบุกเข้าปฏิบัติการเพราะหากทิ้งเวลาเนิ่นนานจะเป็นอันตรายและในช่วงเช้าจะมีปัญหาหลายอย่างเพราะเป็นวันธรรมดา ที่คนจะต้องสัญจรไปมา จะกระจัดกระทบอะไรหลายๆอย่างมีการปรึกษา เหตุแห่งความชอบธรรมของกฎหมายแล้วจึงเข้าปฏิบัติการ ซึ่งการปฏิบัติครั้งนี้ประสบความสำเร็จต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รอง ผบ.ตร. ยังกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการวิเคราะห์กันแล้วว่าฝากถึงสื่อมวลชนว่าเคสที่เกิดไปแล้วอย่าไปตอกย้ำ เพราะเป็นการตอกย้ำความรู้สึกและการไปเปิดวาร์ป ของผู้ก่อเหตุทำให้ผู้ก่อเหตุ กลายมาเป็นฮีโร่ แต่ตำรวจที่เข้าปฏิบัติหน้าที่กลายเป็นจำเลยของสังคม เพราะฉะนั้นต่อไปคนที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือคนที่เป็นจิตเวช เมื่อเกิดการคุ้มคลั่งจะเป็นพฤติกรรมของการเลียนแบบ หากนับเนื่องจากเหตุการณ์กราดยิงที่ Terminal 21 ที่จังหวัดนครราชสีมา จนถึงปัจจุบันพบว่ามีเหตุการณ์เลียนแบบในลักษณะนี้แล้วประมาณ 7 ครั้ง จึงอยากขอให้งดการเสนอข่าวที่เป็นเชิงบวกของผู้ก่อเหตุเพราะเรากำลังสร้างฮีโร่ ของกลุ่มที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือกลุ่มที่เป็นจิตเวช ซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการเกิด Copy Case ขึ้นมา ฝากสื่อมวลชนให้เป็นข้อคิด และก่อนหน้านี้ เคยทำโครงการ Run Hide Fight (วิ่ง ซ่อน สู้ ) โดยพี่น้องประชาชนหากได้ยินเสียงปืนที่ไหนให้ วิ่ง ซ่อน สู้ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำในเคสของ Active Shooter ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ที่ล่อแหลม และเป็นภัยต่อชีวิตของพี่น้องประชาชน ไม่ต้องห่วงคอยถ่ายคลิปให้ตำรวจดู แต่ขอให้พี่น้องประชาชน วิ่งซ่อนสู้ หนีไปให้ไกลจากที่เกิดเหตุให้มากที่สุด