‘ชูวิทย์’สวนหมัด
ขู่ฟ้องเอาผิด‘ทนายตัม’
ชี้มีขบวนการทำลายล้าง
ทนายคนดังงงจะโดนฟ้อง
ทั้งที่เตือนด้วยความหวังดี
‘ศิริราช’แถลงคืนเงิน3ล้าน
รพ.ศิริราช เตรียมคืนเงินสีเทาให้ “ชูวิทย์” ย้ำไม่ขอรับเงินที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย ด้าน “ชูวิทย์” เผย จะนำเงิน 6 ล้าน ไปให้ตำรวจมอบหมาย “ทนายอนันตชัย” เตรียมที่จะฟ้องร้อง“ทนายตั้ม” อ้างมีขบวนการทำลายล้างตน ยันไม่เข้าข่ายการฟอกเงิน ด้าน “ทนายตั้ม” เปิดอีกตัวละครลับ ขู่ “ชูวิทย์” ไม่เคลียร์ จะแฉเองเตือนอย่าให้ความโลภฆ่าพี่ งง! โดนขู่ฟ้อง ทั้งที่เตือนด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ บช.ก.เปิดปฏิบัติการรอบสอง ตรวจค้น 9 จุดเครือข่าย “สารวัตรซัว”
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 เวลา 10.00 น.ที่ห้องประชุมสิรินธร อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น G รพ.ศิริราช ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล แถลงข่าวถึงการบริจาคเงินของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืน ที่บริจาคเงิน 3 ล้านบาท ให้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อวันที่ 15 มี.ค.66 ที่ผ่านมา ซึ่งมีคำถามเกี่ยวกับที่มาของเงินบริจาค ว่านายชูวิทย์ได้นำเงิน 3 ล้านบาท มาบริจาคเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โดยตนกับทางหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ก็ได้มาเป็นผู้รับมอบเงิน
อย่างไรก็ตาม จากที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เงินดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย เรื่องนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีความพยายามติดต่อไปยังนายชูวิทย์เพื่อขอส่งคืนเงินจำนวนดังกล่าว โดยหวังให้นายชูวิทย์มารับเงินคืนให้เร็วที่สุด ส่วนคำถามเรื่องกฎเกณฑ์การบริจาคนั้น จริงๆ แล้วไม่มีกฎเกณฑ์อะไร ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้บริจาคที่ตั้งใจอยากจะมาช่วย
เร่งคืนเงินให้ชูวิทย์โดยเร็วที่สุด
“ศิริราชเราเป็นสถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน มีคนไข้มารับการรักษจำนวนมากจากทุกๆ ที่ของประเทศไทย ฉะนั้น การรับบริจาคถือว่าทุกคนมีจิตศรัทธาและเราก็ซาบซึ้งในสิ่งที่ทุกๆ ท่านกรุณามาช่วยเหลือตลอด และเราก็นำเงินบริจาคของทุกๆ ท่าน ที่จะต้องระบุเฉพาะว่าจะเอาไปช่วยอะไร จะเป็นเรื่องคนไข้ผู้ด้อยโอกาส เรื่องการศึกษา การวิจัย การสร้างตึก อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องนำเงินของผู้บริจาคไปใช้เฉพาะกับที่ท่านตั้งวัตถุประสงค์ไว้อย่างตรงไปตรงมา” ศ.นพ.อภิชาติ กล่าว
ด้าน รศ.นพ.ประภัทร วานิชพงษ์พันธุ์ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า ทางคณะจะทำเรื่อง ขอคืนเงินให้นายชูวิทย์โดยเร็วที่สุด ในช่องทางที่เหมาะสม
‘ชูวิทย์’จ่อนำงินสีเทาไปให้ตำรวจ
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าหากทาง รพ.ศิริราช ไม่สบายใจ คืนเงินมา ผมก็ต้องนำเงินไปให้ตำรวจ ก็ไม่ทราบว่าตำรวจจะทำอย่างไรกับเงินนี้ต่อไป แต่ด้วยเจตนาดีในการนำเงินไปให้โรงพยาบาล เพื่อได้ช่วยเหลือคนเจ็บป่วย หรือคนตาย คนนำเงินมาให้ก็เป็นนายตำรวจผู้ใหญ่ที่เกษียณแล้ว และผมรู้จักมานาน จิตใต้สำนึกผมแยกแยะได้ว่า อะไรคือเงินของผม และอะไรที่ไม่ใช่ สังคมพิจารณาได้ว่าผมเป็นคนอย่างไร? การกระทำของผมย่อมมีคนเสียประโยชน์ที่พยายามเล่นงานผมทุกวิถีทาง แต่เมื่อผมตัดสินใจแล้ว เกมนี้เดิมพันด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ครับ
ต่อมา นายชูวิทย์โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ประสานจะคืนเงินบริจาคดังกล่าว โดยตนเองจะนำเงินไปมอบให้ตำรวจ
ตั้งทนายดังจ่อฟ้อง’ทนายตั้ม’
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชูวิทย์ กล่าวระหว่างเดินทางไปรณรงค์ต่อต้านนโนบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ที่เขตจตุจักรว่า ตนได้มอบหมายทนายความดำเนินการตามกฎหมาย เพราะมีขบวนการทำลายล้างตน ลูกตน รวมถึงทรัพย์สิน จึงขอถามกลับไปยัง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ว่า สิ่งที่ทำไปนั้น เป็นไปในนามสารวัตรซัวหรือไม่ หรือหากทนายตั้มเก่งจริงต้องไปฟ้องศาลหรือแจ้งความ ไม่มาใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือ ซึ่งเรื่องของทนายตั้มนั้น ให้สอบถามลูกน้องของนายตำรวจใหญ่ระดับผู้กำกับ
พร้อมกันนี้ นายชูวิทย์ ยังต่อสายโทรศัพท์ถึง นายอนันตชัย ไชยเดช พร้อมยืนยันจะฟ้องร้องทนายตั้ม ในฐานะทนายความของนายชูวิทย์ โดยทนายอนันตชัย เผยว่าการกระทำของทนายตั้มนั้นถือว่าผิดมารยาททนายความ และหากยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนแล้วนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนยังถือว่าเข้าข่ายการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ส่วนกรณีนายชูวิทย์ นำเงินสีเทาไปบริจาคนั้น ส่วนตัวมองว่ายังไม่เข้าข่ายการฟอกเงิน เพราะไม่ได้นำไปซื้อทรัพย์สิน อย่างไรก็ตามประเด็นนี้อาจต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพิ่มเติม
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นการบริจาคเงินให้โรงพยาบาลนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่การฟอกเงิน ในเมื่อตนรับกลับมาคืนให้เจ้าของ ไม่ได้นำเงินไปซื้อหรือลงทุนอะไร
‘ทนายตั้ม’เปิดอีกตัวละครลับ
ทางด้าน นายษิทรา โพสต์ภาพ พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาว่า “#ชื่นมื่น ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมเดวิส และเป็นวันที่คนของสารวัตรซัว ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บหนึ่ง (คนซ้ายในรูป) เอาเงินไปให้พี่ชูวิทย์ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่มีแค่ตำรวจ 2 คนอย่างที่พี่ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์
คนบนโต๊ะมีทั้งตำรวจระดับนายพล 2 คน (ตามที่พี่บอกกับสังคม) เจ้าของเว็บ กล่องดวงใจ และพี่ชูวิทย์ นั่งเจรจากัน เรื่องเว็บไหนแตะได้ เว็บไหนแตะไม่ได้ และที่สำคัญตำรวจระดับนายพลที่พี่ชูวิทย์พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง คนนึงเกษียณแล้วเป็นคนสนิทพี่ชูวิทย์เอง ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่อีกคนไม่ใช่ตำรวจแล้ว พี่พูดความจริงครึ่งเดียว คนนี้มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อคกันทั้งประเทศ ช็อคแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อคที่สองก็คือทำไมพี่ชูวิทย์ต้องปกปิด
ผมว่าพี่ควรจะเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนะครับว่าคือใคร ถือว่าทำเพื่อชาติ เหมือนที่พี่พูดมาตลอด ผมจะได้เลิกคลางแคลงใจในตัวพี่ซะทีว่าเบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันต่างกันสิ้นเชิง? แต่ถ้าพี่ไม่กล้าแฉ เพราะรับอะไรเค้ามาแล้วไม่เป็นไร อาทิตย์หน้า ผมจะเปิดแทนพี่เอง แบบไม่มีกั๊ก ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงอะไรทั้งสิ้น”
เตือน‘ชูวิทย์’อย่าให้ความโลภฆ่าพี่
ก่อนหน้านี้ นายษิทรา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ยอดเงินทั้งหมดที่ได้มามันแค่ 6 ล้านเท่าที่พี่ไปทำบุญจริงเหรอพี่ชูวิทย์ ทั้งคนใน คนนอกเขาแจ้งผมมา มันเกินไปหลายสิบเท่า แค่ถุงนั้นลองวัดดูสิ มันไม่ใช่ 6 ล้านตามที่พี่กล่าวอ้าง พี่ตีไป กินไป เหมือนโรบินฮู้ด แล้วก็แบ่งเอาไปทำบุญ ปล้นโจรแบบคิดค่า GP หากินง่ายดีน้าาา ได้หน้า ได้เงิน
พี่เล่นใหญ่ขนาดนี้ พอมันมีข้อสงสัยที่ตัวพี่เองก็ยอมรับ ว่ารับเงินมาจริง ค้านกับสิ่งที่พี่บอกเล่ากับสังคมมาตลอด ว่าไม่รับแม้แต่บาทเดียว เป็นคนเลวกลับใจ ตัวผมเอง ทำไมถึงออกมาพูด ผมเข้าข้างโจรเหรอ ไม่ใช่ครับ ผมรู้ผมโคตรเสี่ยงเลย ออกมาพูดในวันที่พี่เป็นเหมือนวีรบุรุษของประเทศ กระแสสังคมต้องโจมตีผมแน่นอน แต่ผมมองว่าเรื่องดีๆที่พี่ทำ มันก็ดี แต่แฉไป รับเงินไป มันได้เหรอ พี่เลือกรับเงินจากโจร จากคนทำผิด เพราะพี่รู้ว่าคนพวกนี้เขาไม่กล้าเปิดตัวมาสู้พี่หรอก เป็นสงครามที่พี่ไม่มีวันแพ้ ผมก็เลยออกมาเตือน อย่าให้ความโลภฆ่าพี่ครับพี่ชูวิทย์
สุดงง’ชูวิทย์’ขู่ฟ้อง ชี้แค่เป็นห่วง
ต่อมา นายษิทรา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “อ้าวพี่ชูวิทย์จะฟ้องผมแล้วเหรอครับ ผมถามอะไรพี่ไม่ตอบ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วผมก็มั่นใจไม่มีคำถามไหนทำประเทศชาติเสียหาย เงินจริง ถุงเงินจริง พี่ก็ยืนยันเอง ว่ารับมาจริง ผมแค่เป็นห่วง ว่าพอพี่ไปแตะเงินโจร เงินคนผิด ทั้งพี่ ทั้งโรงพยาบาลจะโดนพ่วงฟอกเงินกันไปหมด โทษสูงสุด 10 ปีต่อกรรมนะพี่ ต่างกรรมต่างวาระ คุกนะพี่ไม่ใช่โรงแรมเดวิส อย่าคิดไปเช็กอินบ่อย ผมเป็นห่วง”
และยังคอมเมนต์เพิ่มเติมอีกด้วยว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องคาบ้านอะไรกันนะครับ ถ้าผมหวั่นใจเรื่องนี้ คงไม่เปิดโพสต์ใหม่บ่อยๆ ยังยืนยันคำเดิม เมนต์ได้เต็มที่ ไม่ฟ้อง ไม่บล็อก ไม่ลบเมนต์ แสดงความคิดเห็นกันได้เต็มคาราเบลเลยครับ”
บช.ก.ลุยค้นเครือข่าย‘สารวัตรซัว’
ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าคดี “สารวัตรซัว”ว่าภายหลังจากมีปฏิบัติการ ในวันที่ 3 มีนาคม 2566 ลงพื้นที่ตรวจค้น 63 จุด สามารถตรวจยึดอายัดทรัพย์สินได้มากกว่า 1,400ล้านบาท จับผู้ต้องหาได้ 7 ราย และเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ได้เข้าตรวจค้นพื้นที่ 9 จุด ใน กทม. และ จันทบุรี สามารถตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หลายรายการ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง แทปเล็ต 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์ พีซี 1 เครื่อง โน๊ตบุ๊ก 4 เครื่อง บัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน และเชิญบุคคลเข้ามาสอบปากคำเพื่อขยายผลเพิ่มเติม
โฆษก บช.ก. กล่าวว่า ภายหลังจากเข้าตรวจค้น 60 บริษัท ที่เกี่ยวข้องกับคดีสารวัตรซัว มีบุคคลที่จะต้องตรวจสอบถึง 150 คน ขณะนี้สามารถจำกัดวงมาได้เหลือ 20-30 คน ซึ่งบางคนมีหุ้นในบริษัท ที่เกี่ยวข้องหลายบริษัทและมีทรัพย์สินเกินกว่ารายได้ มีเส้นทางการเงินที่มีความผิดปกติ ทำให้ทราบว่ามีความเชื่อมโยงในคดี ซึ่งตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
พร้อมตรวจสอบกรณีฉาว
ส่วนกรณีของนายชูวิทย์ ที่ออกมายอมรับว่า รับเงินจากสารวัตรซัว เพื่อให้เลิกหยุดแฉนั้น ทาง บช.ก. จะต้องพิจารณาก่อนว่าทางพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่ นายชูวิทย์ ได้มาเป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่เป็นมูลฐานความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ก็อาจเป็นความผิด ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไป
สำหรับกรณีของ นายษิทรา ออกมาแฉว่า มีตำรวจ 2 นายพล เข้าไปติดต่อ นายชูวิทย์ เลิกแฉคดีสารวัตรซัวนั้น จะต้องรอให้ทางทนายตั้ม นำหลักฐานเข้ามามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบว่า มีนายตำรวจกระทำตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่มีการโอนสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 50 ล้าน ให้กับ “กล่องดวงใจ”ของนายชูวิทย์ ก็ต้องดูตามพยานหลักฐานที่ ทนายตั้ม แจ้งระหว่างการแถลงข่าวว่าจะให้ตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไปเช่นกัน