นางสุพร ตรีนรินทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาพลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี รองประธานอนุกรรมการฯ พร้อมคณะอนุกรรมการ ได้เดินทางไปติดตามการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่บ้านกูแบสีราอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านกูแบสีราอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
ซึ่งเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริไว้เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ในคราวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสภาพพื้นที่และทรงเยี่ยมราษฎร รับทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎรที่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำการเกษตรเป็นเวลานาน รวมถึงยังขาดแคลนน้ำในการอุปโภคและบริโภคในช่วงหน้าแล้ง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรเป็นการเร่งด่วน พร้อมทั้งให้ดำเนินการศึกษาในภาพรวมทั้งระบบ เมื่อศึกษาภาพรวมทั้งระบบได้แล้ว ให้ดูว่าส่วนใดควรแก้ไขอย่างไร โดยขอให้ดำเนินการแก้ไขไปทีละส่วนเป็นขั้นตอน จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งระบบ และทรงรับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
นางดวง ช่วยเมือง ราษฎรบ้านกูแบสีรา และประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำหมู่ที่ 4 ตำบลกอลำ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี หนึ่งในราษฎรที่ได้รับประโยชน์จากโครงการบอกถึงการดำรงชีพภายหลังจากมีการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่แบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาแหล่งน้ำการพัฒนาดิน ตลอดถึงอาชีพเสริม การศึกษา สาธารณสุข และการคมนาคมในหมู่บ้านว่าจากที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อการทำกินได้ เปลี่ยนแปลงมาเป็นความสมบูรณ์ประกอบอาชีพได้ ได้รับผลผลิตที่ดีมีรายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ที่บ้านทำนา ทำสวน ส่วนข้างบ้านปลูกพืชผักในกระสอบเพราะพื้นที่มีน้อย ปลูกพริก 50 ต้น เก็บขายได้ 3,000 กว่าบาทต่อรอบการปลูก ปลูกแบบปลอดสารพิษไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ปุ๋ยหมัก โดยมีเจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดินเข้ามาอบรมให้ความรู้โดยใช้ทะลายปาล์มกับสารเร่ง พด. และใช้มูลไก่ ทำให้ประหยัดต้นทุนในการเพาะปลูกได้มาก รายได้ก็เพิ่มขึ้น” นางดวง ช่วยเมือง กล่าว ขณะที่นายมะยะโก๊ะ บือแน อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล กอลำ เปิดเผยว่าบ้านกูแบสีราเดิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีประชากร 370 คน 78 ครัวเรือน เป็นหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในจังหวัดปัตตานี มีผ่านเกณฑ์ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) เพียง 3 ครัวเรือน นอกนั้นตกเกณฑ์หมดหลังจากได้มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงมาสำรวจสภาพพื้นที่ จากนั้นมีการพัฒนาแหล่งน้ำสร้างระบบน้ำแบบคลองไส้ไก่ส่งน้ำไปยังแปลงเพาะปลูกของราษฎรได้อย่างทั่วถึง และช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง นอกจากนี้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนด้านอาชีพ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข และคมนาคม ทำให้ชาวบ้านตำบลกูแบสีรา ได้รับการพัฒนานาอย่างครบวงจร
“ที่นี่พื้นที่เหมือนกับแอ่งกระทะ เป็นที่ลุ่มทำให้เกิดน้ำท่วมขัง แต่เมื่อมีระบบการระบายน้ำที่ดี ก็มีการทำการเกษตร ปลูกพืชผัก ปลูกผลไม้ ปลูกยางพาราได้ เมื่อก่อนการคมนาคมลำบากถนนเดิมเป็นลูกรังแต่ปัจจุบันมีถนนลาดยางหมดแล้ว ซึ่งในอดีตประชากรส่วนใหญ่จะจบแค่ประถมการศึกษาที่ 4 ก็จะออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ทุกคนได้เรียนต่อจนจบภาคบังคับแล้ว บางรายก็เรียนต่อจนจบปริญญาตรีก็มีถึง 11 คน และได้ทำงานเป็นบุคลากรทางการศึกษา เป็นเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุโรงพยาบาลในอำเภอยะรัง อีกส่วนก็เป็นบัณฑิตอาสามาช่วยทำงานด้านต่างๆ ในหมู่บ้าน เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาก จากที่ทั้งหมู่บ้านผ่าน จปฐ. เพียง 3 ครัวเรือน ปัจจุบันผ่านเกณฑ์หมดทั้งหมู่บ้าน เมื่อมีการศึกษา มีความรู้เรื่องการประกอบอาชีพ ทำให้มีรายได้ต่อครัวเรือนเฉลี่ย 40,000 บาทต่อปี”นายมะยะโก๊ะ บือแน กล่าว
ด้านนางสาวฟาตือเมาะ บาแหะ ประธานกลุ่มพัฒนาบ้านกูแบสีรา ตำบลคลองลำ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เผยว่าปัจจุบันสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง จนเหลือบริโภคภายในครัวเรือน จึงนำมาแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงขายกิโลกรัมละ 25 บาท หากขายเป็นข้าวเปลือกจะได้เพียงกิโลกรัมละ 12 บาท ขณะเดียวกัน ทางส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาส่งเสริมอาชีพฝึกอบรมการถนอมอาหาร และแปรรูปอาหารชนิดต่างๆ ให้ทั้งเพื่อบริโภคและจำหน่าย อาทิ การทำข้าวยำ ทำน้ำบูดู แกงขี้เหล็ก และซุปไก่ เป็นต้น “รู้สึกดีใจมากที่มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี สามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง ปลูกพืชผักได้อย่างสมบูรณ์ทำให้ไม่ลำบาก ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน มีความสุขมากในตอนนี้”นางสาวฟาตือเมาะ บาแหะ กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงาน กปร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินงานพัฒนาตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2545 ประกอบด้วยด้านการจัดสรรที่ดินด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ด้านการพัฒนาการเกษตรและส่งเสริมอาชีพ เช่นส่งเสริมเกษตรกรทำการเกษตรแบบผสมผสาน ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ การแปรรูปผลผลิต รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มทำขนม กลุ่มปักผ้าคลุมผม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมศึกษาดูงานตามโครงการต่างๆ เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ในการทำเกษตร ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการมีส่วนร่วมของราษฎร จัดทำโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริมาปรับและประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาราษฎรโดยมุ่งเน้นวิถีชีวิตบนพื้นฐานความพอเพียงส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่นซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน สามารถสร้างรายได้ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี