ในสัปดาห์นี้ผู้เขียนขอให้คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ได้รับ หมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในคดีแพ่ง ว่าเบื้องต้นสามารถดำเนินการตามกระบวนการอย่างไรได้บ้าง
1. ตรวจสอบว่าเป็นคดีแพ่งประเภทใด
ในส่วนของคดีแพ่งนั้นยังแบ่งย่อยอีกหลายประเภทเช่น คดีแพ่งสามัญ คดีมโนสาเร่ คดีผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งจะมีผลแตกต่างกันในเรื่องของกำหนดระยะเวลายื่นคําให้การ โดยวิธีการป้องกันความผิดพลาดที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไปคือให้โทรไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ศาล ตามเบอร์โทรที่ให้ไว้ในหน้าหมายเรียกนั้น จะสอบถามว่าคดีที่ได้รับนั้น เป็นคดีประเภทใดและครบกำหนดยื่นคำให้การเมื่อไหร่
2. ตรวจสอบข้อเท็จจริงในคำฟ้อง
ประการต่อมาหลังจากที่ได้ทราบว่าตนได้ถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งประเภทใจแล้วมีกำหนดที่จะต้องยื่นคำให้การเมื่อไหร่แล้ว ก่อนที่จะนำสำนวนคดีเข้าไปพบทนายความที่ไว้วางใจ ควรจะอ่านเนื้อหาใจความในคำฟ้องว่ามีข้อเท็จจริงใดในคำฟ้องที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงบ้าง ยกตัวอย่างเช่น กรณีถูกฟ้องคดีแพ่งเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ในยอดเงินที่สูงกว่าการเป็นหนี้จริง ผู้ถูกฟ้องคดีควรจะรวบรวมข้อเท็จจริงว่าเหตุใดยอดเงินจึงไม่ตรง เช่นชำระหนี้ไปแล้วบางส่วน หรือว่ายอดเงินไม่ตรงตามสัญญา เพื่อจะได้ดำเนินการยื่นคำให้การ หรือปรึกษาทนายความที่ไว้วางใจต่อไป
3. ตรวจสอบเอกสารท้ายคำฟ้อง
หลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบเนื้อหาในคำฟ้องแล้ว ลำดับถัดมาควรจะต้องตรวจในส่วนของเอกสารท้ายคำฟ้องเบื้องต้นเช่นสัญญาต่างๆ ที่ฝ่ายโจทก์ได้แนบมาท้ายคำฟ้องนั้นว่าเป็นสัญญาที่ทำการถูกต้องหรือไม่ยอดเงินตรงหรือไม่ รวมถึงรายมือชื่อเป็นชื่อของผู้ถูกฟ้องคดีจริงหรือไม่ หรือหากมีพยานเอกสาร หรือพยานบุคคลใด ที่สามารถโต้แย้งความไม่ถูกต้องของเอกสารท้ายคำฟ้อง ดังกล่าวก็ควรรวบรวมแล้วลิสต์รายการเอาไว้ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะยื่นให้ทนายความได้ดำเนินการ
ยื่นคำให้การต่อไป
4. ตรวจสอบบัญชีระบุพยาน
บัญชีระบุพยานคือเอกสารที่เป็นตาราง อยู่หน้าสุดท้ายของชุดสำเนาคำฟ้อง โดยควรสังเกตรายชื่อไม่ว่าจะเป็นพยานเอกสารรวมถึงพยานบุคคล ว่าพยานบุคคลที่ฝ่ายโจทก์อ้างเป็นพยานนั้น เป็นพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์จริงหรือไม่ หรือมีข้อสังเกตที่เป็นพิรุธในคดีอย่างไร เพื่อนำแจ้งข้อสังเกตดังกล่าวให้ทนายความเจ้าของสำนวน ดำเนินการเตรียมแนวทางในการสืบพยาน รวมถึงการซักค้านพยานปากดังกล่าวต่อไป
5. เรียบเรียงเอกสารเพื่อชี้แจงในประเด็น
ประการต่อมาหลังจากที่ได้เห็นคำฟ้องและเอกสารท้ายคำฟ้องของฝ่ายโจทก์แล้ว หากผู้ถูกฟ้องคดีมีเอกสารใดที่จะสามารถอธิบายคำฟ้องของโจทก์รวมถึงโต้แย้งคัดค้านคำฟ้อง ควรรวบรวมพร้อมทั้งทำคำอธิบายโดยสารต่างๆ พร้อมทั้งถ่ายเอกสารสำเนาไว้เพื่อพร้อมที่จะส่งมอบทนายความ โดยความสำคัญคือการอธิบายลิสต์รายการความหมายเพื่ออธิบายสเต็ปเอกสารต่างๆ ให้ผู้รับผิดชอบคดีเข้าใจโดยง่าย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการวางรูปคดีต่อไป
6. ให้ข้อมูลพยานบุคคล
หลังจากที่ได้จัดเตรียมพยานเอกสารดังกล่าวแล้ว หากผู้ถูกฟ้องคดี มีพยานบุคคลที่สำคัญที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ในคดีสามารถรวบรวม ชื่อ นามสกุล ที่อยู่พร้อมกับข้อเท็จจริงที่พยานคนต่างๆ ได้รับรู้รับเห็น เพื่อให้ทนายความเจ้าของสำนวนได้กลั่นกรองว่าพยานบุคคลใดจะเป็นประโยชน์แก่คดี ส่วนการขอความร่วมมือพยานเพื่อมาให้การในชั้นศาลนั้นควรดูความสะดวกเบื้องต้น ว่าพยานมีความจำเป็นจะต้องขอหมายเรียกหรือไม่ เพื่อให้ทนายความและเตรียมตัวออกหมายเรียกพยานต่อไป
คำแนะนำดังกล่าวเป็นคำแนะนำเบื้องต้น เพื่อเตรียมคดี และข้อมูลเบื้องต้น ดังนั้น เมื่อได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยเฉพาะคดีแพ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ต้องตกใจเพราะว่าไม่ใช่การบังคับกับเนื้อตัวร่างกายอย่างเช่นในคดีอาญา เพียงแต่ว่าอาจจะมีประเด็นที่อาจกระทบต่อทรัพย์สินได้ ทั้งนี้ คนตั้งสติแล้วค่อยๆ หาพยานเอกสาร รวมถึงพยานบุคคลเพื่อโต้แย้งประเด็นดังกล่าวในฟ้อง
แต่ทั้งนี้หากฟ้องโจทก์เป็นไปตามมูลหนี้จริง การเจรจาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ ทำให้สามารถจบข้อพิพาทลงด้วยดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี