ทส.ลุยตรวจสอบรีสอร์ตหรู‘เกาะเต่า’ สร้างอาคารบนโขดหิน เจ้าของยอมรื้อแล้ว
26 มิถุนายน 2566 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) สั่งการเร่งด่วนให้นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. , นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำกำลังเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งบนเกาะเต่า ท้องที่ ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี กรณีก่อสร้างอาคารที่พักบนโขดหินติดริมทะเลบริการนักท่องเที่ยว โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเผยแพร่บนโลกออนไลน์พร้อมตั้งคำถามว่าการสร้างสิ่งปลูกสร้างอาคารที่พัก และแนวเขตพื้นที่ของรีสอร์ท ดำเนินการถูกต้องหรือไม่
สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้นำโดยนายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นำกำลังเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) ชุดปฏิบัติการพิเศษฉลามขาว เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 4 (ภาคใต้) เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่สำนักงานเทศบาลเกาะเต่า และเจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะพะงัน ลงพื้นที่ขยายผลดำเนินการตามอำนาจ หน้าที่ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
จากการตรวจสอบพบว่า รีสอร์ทตั้งอยู่ในเขตที่ราชพัสดุ ท้องที่ ต.เกาะเต่า อ.พะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแลพื้นที่ และอยู่ในพื้นที่ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ ต.ตลิ่งงาม ต.บ่อผุด ต.มะเร็ต ต.แม่น้ำ ต.หน้าเมือง ต.อ่างทอง ต.ลิปะน้อย อ.เกาะสมุย และ ต.เกาะพะงัน ต.บ้านใต้ ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557
ทั้งนี้ อาคารที่พักและสิ่งก่อสร้างของรีสอร์ท มีการเปลี่ยนแปลงสภาพทางกายภาพของหาดไปจากเดิม มีการเคลื่อนย้ายหินที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มีการตัดแต่งหิน มีการก่อสร้างทับหาดหิน ทำให้เสียทัศนียภาพบริเวณหาด และเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นชายหาดหิน (Rocky Share) เป็นลักษณะชายหาดในบริเวณเขตน้ำขึ้นน้ำลงที่มีหินเป็นโครงสร้างหลักทางกายภาพ ซึ่งจะพบหาดหินได้ตามเกาะต่างๆ หรือตามชายฝั่งทะเลที่เชื่อมติดต่อกับภูเขา หาดหินเกิดจากการผุพังหรือการกัดเซาะของน้ำทะเลทำให้เกิดซอกเล็กซอกน้อย และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากมาย รวมทั้งยังเป็นแหล่งหลบภัยของสัตว์น้ำวัยอ่อนได้เป็นอย่างดี
ความสำคัญของหาดหิน คือ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทางทะเล แหล่งท่องเที่ยวและนันทนาการ แหล่งอาหารและประมงทะเล แหล่งสมุนไพร สารผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติและยารักษาโรค แนวกำบังคลื่นลมทางธรรมชาติ ซึ่งในระบบนิเวศหาดหิน มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สาหร่ายทะเล ฟองน้ำทะเล หนอนต่างๆ หอยและหมึก ดาวทะเล ปลิงทะเล เพรียง ปลากระดูกอ่อน และปลากระดูกแข็ง ซึ่งล้วนแล้วมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
เจ้าหน้าที่ธนารักษ์พื้นที่สุราษฎร์ธานี แจ้งว่า บริเวณพื้นที่ที่มีการตรวจสอบ ยังไม่ได้รับอนุญาต โดยเจ้าของรีสอร์ทได้ยื่นขออนุญาตเช่าที่ดินตามระเบียบจากที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 ซึ่งอยู่ในขบวนการตรวจสอบรังวัด และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่เทศบาลเกาะเต่า พบว่าอาคารที่พักไม่ได้มีการขออนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และได้ดำเนินการสั่งระงับใช้อาคารสั่งห้ามมิให้บุคคลใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆ ของอาคาร ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
ด้านเจ้าของรีสอร์ท อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่ได้ครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่อง โดยมี ภบท. 5 และภายหลังทางธนารักษ์ได้แจ้งว่า ที่ดินของโครงการอยู่ในเขตที่ดินในความรับผิดชอบของกรมธนารักษ์ ให้ไปดำเนินการขอเช่าที่ดินตามระเบียบ ซึ่งทางโครงการได้ไปยื่นขออนุญาตไว้แล้วตั้งแต่ปี 2661 ซึ่งรีสอร์ทได้ดำเนินการมาก่อนแล้ว
ขณะที่นายยุทธพล ได้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นทางด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นให้เข้าใจ โดยเจ้าของรีสอร์ทรับทราบและเข้าใจ พร้อมเสนอยินยอมที่จะเร่งรื้อถอนอาคารหลังดังกล่าวออกไป
สำหรับพื้นที่ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในท้องที่เกาะเต่า ประกาศขึ้นมาเป็นข้อระเบียบ กฎหมาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ผล เกิดความยั่งยืนต่อระบบนิเวศน์ในพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางระบบนิเวศน์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในมิติต่างๆ การประกาศพื้นที่ดังกล่าวจะมีกำหนดระยะเวลาเป็นช่วงเวลา เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ก็อาจยุติการใช้ประกาศดังกล่าว เช่น กรณีเกาะเต่ามีการประกาศครั้งแรกเมื่อปี 2557 และมีการต่ออายุประกาศฉบับดังกล่าวออกไปแล้วจำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี ล่าสุดเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึก พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำเรื่องส่งพนักงานสอบสอนสถานีตำรวจภูธรเกาะพะงัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเทศบาลเกาะเต่า ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ทางอำเภอเกาะพะงัน ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
หลังจากนี้ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้นายชาญชัย กิจศักดาภาพ หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) ประจำศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า พร้อมเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า จะได้เข้าขยายผลตรวจสอบอาคารหลังดังกล่าวโดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อเก็บบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี