ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก 12,265 ปี 22 จำเลย คดีแชร์ลูกโซ่ยูฟันสโตร์ พร้อมสั่งร่วมกันชดใช้ 356 ล้านบาท หลังพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และผู้เสียหายร่วมเป็นโจทก์ฟ้องแม่ข่าย
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษา คดีแชร์ลูกโซ่ยูฟันสโตร์ รวม 7 สำนวน ที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีอาญา 9 และผู้เสียหาย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิชณัฏฐ์ แสนกล้า แม่ข่ายยูฟันสโตร์ , นายนที ธีระโรจนพงษ์ หรือ เกย์นที นักเคลื่อนไหวความหลากหลายทางเพศ กับพวกร่วมกัน เป็นจำเลยที่ 1-43 ความผิดฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ 2556 , พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบ ตรง 2545 , ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 2527 , ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
สืบเนื่องจาก กรณีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึง 18 มิถุนายน 2558 บริษัทยูฟัน สโตร์ จำกัด ชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่ายในการ ประกอบธุรกิจน้ำผลไม้และสมุนไพรกับเครื่องสำอาง ทำให้หลงเชื่อว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่าย แต่กลับหลอกลวงให้ร่วมลงทุน โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยในการนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ จำเลยที่ 29 ไม่มา ศาลอ่านคำพิพากษา โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากการที่จำเลยได้ยื่นฎีกา โดยให้เหตุผลว่าคดีนี้ไม่มีผู้เสียหายไปร้องทุกข์ กับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. เนื่องจากยังไม่มีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของบริษัทยูฟัน แต่คดีนี้ทาง สคบ.ตรวจสอบทราบว่าบริษัทยูฟันฯ ไม่ได้ประกอบกิจการธุรกิจขายตรงแต่อย่างใด จึงให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี จึงถือว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนจำเลยการสอบสวนในคดีนี้จึงไม่ชอบโดยกฎหมายนั้น ศาลเห็นว่าแม้ว่าคดีนี้จะไม่มีผู้เสียหายไปร้องทุกข์ก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีความผิดเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจาก สคบ.ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งได้ตรวจสอบแล้วพบว่าบริษัทยูฟันฯ มีพฤติกรรมกระทำความผิดมิชอบโดยกฎหมาย จึงมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดี การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบโดยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยในกรณีนี้ จึงฟังไม่ขึ้น
สำหรับพฤติการณ์ของบริษัทยูฟัน ที่มีการชักชวนประชาชนมาร่วมลงทุน และให้ความเชื่อมั่นถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ ในลักษณะของการลงทุนยูโทเค่น มีการให้ค่าตอบแทนกับผู้ที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาลงทุนด้วย อีกทั้ง ยังพบว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงิน โอนเงินจำนวนมากหลายรายการ ให้จำเลยหลายราย โดยมีนายอภิชณัฏฐ์ แสนกล้า จำเลยที่ 1 เป็นตัวการหลัก มีการจัดการบรรยายชักชวนประชาชนให้มาร่วมลงทุน มีหลักฐานเป็นภาพถ่าย และคำให้การของผู้ลงทุนหลายรายให้การสอดคล้องกัน ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดจริง การที่นายอภิชณัฏฐ์ แสนกล้า จำเลยที่ 1และจำเลยที่เป็นผู้บริหารของบริษัทยูฟันฯ รายอื่น ให้เหตุผลฎีกาว่ายังไม่มีความผิดเกิดขึ้น จึงฟังไม่ขึ้น อีกทั้งฎีกาของจำเลย ที่เหลือในความผิดต่างๆ นั้น ศาลฟังไม่ขึ้น จึงไม่รับวินิจฉัย และเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในบทลงโทษในคดีอาญา ส่วนที่จำเลยยื่นฎีกาสู้คดี ศาลเห็นว่าฟังไม่ขึ้น ส่วนค่าเสียหายทางแพ่ง ที่จำเลยต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้คิดอัตราดอกเบี้ยใหม่จากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี ตามกฎหมายใหม่
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่านายอภิชณัฏฐ์ จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกทำงานเป็นขั้นตอน ชักชวนให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนการประกอบธุรกิจของบริษัทยูฟันฯไม่ได้เน้นการจำหน่ายสินค้าขายตรงตามที่แจ้งไว้ แต่กลับเชิญชวนให้ลงทุนยูโทเคน อ้างว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยไปอย่างต่อเนื่อง หากผู้ลงทุนหาสมาชิกใหม่เพิ่มได้จะได้รับค่า ทำให้ได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้น จึงพิพากษาลงโทษจำเลย 22 คน โดย จำเลยที่ 1 , 2 , 4, 6 , 7 , 11 , 12 และ 13 มีความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชนฯ จำคุก 2,451 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 12,255 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ.องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯ อีกคนละ 10 ปี รวมจำคุกจำเลยเป็นเวลา 12,265 ปี
แต่ตามกฎหมายจำคุกได้เพียง 20 ปี และให้จำเลยทั้ง 22คน ร่วมกันชดใช้เงิน 356,211,209บาท ให้ผู้เสียหาย 2,451คน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ริบเงินสดของกลาง กับให้จ่ายสินบนและเงินรางวัลนำจับให้กับผู้ชี้เบาะแสร้อยละ 25 ของค่าปรับที่จำเลยที่ 42 ต้องชำระ และยกฟ้องจำเลยที่เหลืออีก 21 คน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยทั้ง 22 คนคือจำเลยที่ 1,2,4,5,6,7,11,12,13,15,16,17,19,22,23,27,29,31,36,37,40,42 ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลย 11 คน คือ จำเลยที่ 15,16,17,19,22,23,29,31,36,37 และ40 และลงโทษจำเลย 32 คน โดยให้จำเลย 1,2,6,7 และ11จำคุกคนละ 20 ปีและให้ยกคำขอจำเลยที่ 5,16,17,19,22,23,29,31,36,37 และ40ร่วมกันคืนเงินที่กู้ยืม และฉ้อโกงแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี