รวบแก๊งล่าสมบัติ
ลักลอบขุดโบราณวัตถุ
ยึดของกลางนับพันชิ้น
“ตำรวจสอบสวนกลาง-กรมศิลปากร” บุกทลาย“แก๊งนักล่าสมบัติโบราณ” ตระเวนลักลอบขุดโบราณวัตถุนำขายผ่านเฟซบุ๊ก บุกค้น 9 จุด 4 จังหวัด จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 ราย ยึดโบราณวัตถุของกลางนับพันชิ้น อึ้งเจอ‘รูปปั้นช้าง-วัวสัมฤทธิ์โบราณ’อายุกว่า 1,600 ปี หากสูญหายไป ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ พบมีรายได้2แสนบาทต่อเดือนยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า10ล้านบาท
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดยกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ , พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม , พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น , พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. , พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ , พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป. โดยบูรณาการประสานความร่วมมือกับ นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่หน่วยร่วมปฏิบัติ นายมนตรี ธนภัทรพรชัย ผู้อำนวยการกลุ่มงานโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย และนายชินณวุฒิ วิลยาลัย ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากร
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ , พ.ต.ท.ศุภกร ตังคะประเสริฐ , พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์ , พ.ต.ท.เอนก บุญตา รอง ผกก.4 บก.ป. , พ.ต.ท.พิทยา คงเจริญ, พ.ต.ท.กิตติพงศ์ ศิลาพันธุ์ , พ.ต.ต.ณรงค์ หาญสันเทียะ, พ.ต.ต.อัคนี ณ บางช้าง สว.กก.4 บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป.ร่วมกันจับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ 1.นายทศพร อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา จับกุมได้ในพื้นที่ ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 2. นายทศพล อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา จับกุม ได้ในพื้นที่ ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และ 3.นายศรีออน อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา จับกุมได้ในพื้นที่ ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา พร้อมตรวจยึด1.เครื่องสแกนโลหะ11 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์การขุด 2.สิ่งของคล้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ จำนวน 970 ชิ้น 3.สมุดบัญชีธนาคาร4 เล่ม
ทั้งนี้ กล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน“เป็นผู้เก็บได้ซึ่งโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ที่ซ่อนหรือฝังหรือทอดทิ้งโดยพฤติการณ์ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้และเบียดบังเอาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุนั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย และ จำหน่าย เอาไปเสียซึ่งโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ โดยผิดกฎหมาย”
พฤติการณ์สืบเนื่องจากตำรวจสอบสวนกลาง โดย กก.4 บก.ป. รับแจ้งเบาะแสจากกลุ่มผู้อนุรักษ์โบราณวัตถุ ว่า มีกลุ่มบุคคลลักลอบขุด ค้า โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โดยมีการนำโบราณวัตถุต่างๆมาเสนอขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยผิดกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร
จากการตรวจสอบ พบบัญชีเฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ต้องหา ลงโพสต์ภาพการขุดค้นหาโบราณวัตถุ พร้อมประกาศขายสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุจำนวนหลายรายการ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการติดต่อซื้อสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุดังกล่าว โดยเมื่อทางเจ้าหน้าที่ได้รับสิ่งของคล้ายวัตถุโบราณมาแล้ว ได้มีการส่งตรวจพิสูจน์ที่สำนักศิลปากร กรมศิลปากร ผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุดังกล่าวเป็นโบราณวัตถุตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) จริง ซึ่งตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ห้ามมิให้มีการขุด ค้นหา หรือซื้อขายโบราณวัตถุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มคนร้ายมีความเชื่อมโยงกันโดยผู้ต้องหาที่1กับผู้ต้องหาที่2เป็นพี่น้องกัน มีการโพสต์ภาพผ่านทางเฟซบุ๊กขณะไปร่วมกันขุดหาโบราณวัตถุตามสถานที่ต่างๆแล้วนำโบราณวัตถุต่างๆมาประกาศขายผ่านทางเฟซบุ๊กโดยในภาพที่ผู้ต้องหาโพสต์ยังปรากฎบุคคลอื่นๆที่ร่วมกันขุดหาสิ่งของโบราณวัตถุกับผู้ต้องหา
เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้กระทำความผิดจำนวน 3หมายจับ พร้อมขออนุมัติศาลออกหมายค้น สถานที่ที่เชื่อว่าน่าจะมีการซุกซ่อนโบราณวัตถุหรือสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จากการตรวจสอบบัญชีธนาคารของผู้กระทำความผิด พบมีรายได้ต่อเดือนประมาณ200,000บาทและมียอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า10ล้านบาท ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ตำรวจสอบสวนกลาง โดย กก.4บก.ป.จึงวางแผนพร้อมประสานความร่วมมือกับกรมศิลปากรบูรณาการร่วมกันตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของผู้ต้องหา ตามหมายจับ และเป็นสถานที่เชื่อว่ามีการซุกซ่อนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ สถานที่ตรวจค้น 9 จุด ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่, ลำปาง,พะเยา และสุโขทัย โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 3 ราย พร้อม ทั้งตรวจยึดสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ รวมจำนวนกว่า 1,000 ชิ้น สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่1และ2ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3 ให้การปฏิเสธ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.กล่าวว่าสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.4บก.ป.ได้รับแจ้งเบาะแสจากกลุ่มผู้อนุรักษ์โบราณวัตถุว่ามีกลุ่มบุคคลลักลอบขุดโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ก่อนนำไปโพสต์ขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ จึงประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรร่วมทำการสืบสวนจนพบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริง ก่อนวางแผนติดต่อล่อซื้อ รูปปั้นโบราณจำนวน 2 ชิ้น ซึ่งเมื่อได้รับสิ่งของทั้ง 2 อย่างมาแล้ว จึงนำสิ่งของคล้ายวัตถุโบราณที่ได้มาส่งตรวจพิสูจน์ที่สำนักศิลปากร กรมศิลปากร พบว่าเป็นโบราณวัตถุจริง โดยเป็นรูปปั้นแกะสลักวัวสัมฤทธิ์โบราณ อายุ ประมาณ 1,600 ปี และ รูปปั้นช้างสัมฤทธิ์มีแท่นตราประทับ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 21 จึงเร่งสืบสวนขยายผลเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดทั้งขบวนการ
ด้าน พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป.กล่าวว่า จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้จะเริ่มจากการตั้งกลุ่มออกตระเวนขุด โบราณวัตถุตามโบราณสถานต่างๆ หรือ ดำน้ำงมหาสิ่งของริมแม่น้ำใหญ่ๆ ตามพื้นที่ จ. พะเยา, สุโขทัย และ ลำปาง ราชบุรี โดยระหว่างที่ออกไปขุดหรือดำน้ำงมหานั้นผู้ต้องหากลุ่มนี้จะมีการถ่ายทำเป็นคลิปวิดีโอ คล้ายกับลักษณะการสร้างคอนเทนต์นำไปโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้ที่สนใจ จากนั้นเมื่อได้โบราณวัตถุมาก็จะนำไปโพสต์ประกาศขายเพจเฟซบุ๊ก หรือ นำไปขายตามร้านรับซื้อวัตถุโบราณต่างๆ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่
พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ กล่าวว่าจากการสอบสวนนายทศพรกับนายทศพล ให้การรับสารภาพว่าทำไปเพราะไม่ทราบว่าผิดกฎหมายโดยได้ทำมานานหลายปี ส่วนนายศรีออนให้การปฏิเสธในส่วนนี้ก็ไม่ได้หนักใจอะไร เพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน อีกทั้งจากการตรวจสอบบัญชีธนาคารผู้ต้องหาทั้งหมด พบมีรายได้ต่อเดือน ตกเฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท และเฉพาะในห้วงเวลา 3 ปี มียอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 10ล้านบาท เบื้องต้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า กรณีผู้พบเจอสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ขอให้นำส่งกรมศิลปากร ตรวจสอบ ไม่ควรยึดถือไว้เป็นของตน เพราะมีความผิดตามกฎหมาย หากส่งคืน ก็จะมีเงินรางวัลมอบให้บางส่วนด้วย โดยของกลางโบราณวัตถุที่พบครั้งนี้ มี 2 ชิ้นที่เป็นรูปปั้นวัว-ช้างสัมฤทธิ์ พบ มีอายุมากถึง 1,600 ปี บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางการค้าตั้งแต่โบราณ หากสิ่งของเหล่านี้หลุดรอด หรือ สูญหายไปจากประเทศก็จะทำต้องสูญเสียหลักฐานสำคัญของชาติที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี