เมื่อเช้าวันที่ 13 กันยายน 2566 ตำรวจภูธรภาค 7 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจค้นพื้นที่ 21 จุด ใน จ.นครปฐม เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมของเครือข่ายกำนันนก

โดยจุดแรกนำหมายค้นจากศาลอาญา เข้าตรวจค้นบ้าน นาย ศักรินทร์ ท้วมสุข ฉายาในเฟซบุ๊กกำนันเต้ง หรือ เต้ง ทุ่งรี ที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ม.7 ต.ทัพหลวง อ.เมือง จ.นครปฐม โดยพบสมุดบัญชีธนาคาร แต่ยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด

จากการสอบถาม ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ความว่า นายเต้ง ไม่ใช่กำนัน แต่ชาวบ้านเรียกทั่วไปว่ากำนันเต้ง เนื่องจากใช้เป็นชื่อเฟซบุ๊ก และชื่อไลน์ จึงเรียกติดปากกัน แต่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกำนัน ก่อนหน้านี้ นายเต้ง รับจ้างทั่วไป ไม่ได้ทำงานให้นักการเมืองท้องถิ่น หรือกำนันนก ตอนนี้ นายเต้ง ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเพราะออกไปขายของที่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากมีฝีมือในการทำอาหารจึงไปเปิดร้านขายข้าวมันไก่ ส่วนบ้านที่ตำรวจเข้าตรวจคนนั้น หน้าบ้านเปิดเป็นร้านจำหน่ายวัตถุมงคลประเภทไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์ เป็นต้นโดยเขียนว่ากำนันเต้งทุ่งรี ส่วนจุดที่สอง เป็นบ้านของ “กำนันโต้ง” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.10 ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดยการลงพื้นที่ตรวจค้นในครั้งนี้ เพื่อดูภาพรวมสิ่งผิดกฎหมาย และเส้นทางการเงินรวมถึงอาวุธปืน

พบข้อมูลโยงฮั้วประมูล

ขณะเดียวกันได้ค้นบริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด หมู่ 1 ต.ตาก้อง จ.นครปฐม ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ผลิตและจำหน่ายยางแอสฟัลติกคอนกรีต ของ นายประโยชน์ จันทร์คล้าย หรือผู้ใหญ่โยชน์ พ่อของกำนันนก

นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. ให้สัมภาษณ์ การปฏิบัติการในวันนี้เป็นการบูรณาการจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตํารวจ ป.ป.ช. ปปง. และกรมสรรพากร ในการร่วมกันค้นหาพยานหลักฐานเอกสารสำคัญ ที่ใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างและเอกสารการฮั้วประมูล ซึ่งอาจจะมีการซุกซ่อนอยู่ในบริษัทดังกล่าว โดยหลังจากนี้จะนำหลักฐานที่ได้มาทั้งหมดไปตรวจสอบและประมวลผล ตนเชื่อว่าหากนําเอกสารทั้งหมดมาประมวลผลแล้ว จะช่วยทําให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และจะได้ทราบว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งเชื่อได้ว่ากำนันนกไม่ได้ลงมือเพียงลำพัง ต้องมีคนคอยสนับสนุน และวันนี้ได้ให้ทางกรมสรรพากรมาร่วมตรวจสอบเรื่องการเสียภาษีอีกด้วยว่า บริษัทแห่งนี้มีการเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจค้นวนจุดอื่น เบื้องต้นพบความเชื่อมโยงกันเกือบทั้งหมด

นอกจากนี้ นายภูมิวิศาล ยังระบุด้วยว่า วันนี้เกมมันจบลงแล้ว คนใหญ่คนโตที่นับถือกันก็ถูกจับกุมแล้ว ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมารับสารภาพดีกว่า หากตรวจพบเจอยังไงก็ไม่รอด

‘บิ๊กโจ๊ก’ประกาศล้างบาง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยความคืบหน้าคดียิง “สารวัตรทางหลวง” เสียชีวิต ในงานเลี้ยงบ้าน “กำนันนก” ว่า ขณะนี้ความชัดเจนเรื่องเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด สามารถกู้ได้ แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการผลการกู้คาดว่าจะเสร็จวันที่ 14 ก.ย.นี้

สำหรับการสอบปากคำตำรวจและประชาชนในที่เกิดเหตุครบหมดแล้ว โดยพบว่าที่เกิดเหตุมีพยานเป็นตำรวจเพิ่มอีก 1 นาย ทำให้มีตำรวจทั้งหมด 29 นาย และประชาชน 28 คน รวมทั้งหมด 56 คน ส่วนจะออกหมายจับใครบ้างนั้น ขณะนี้ยังต้องรอข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดก่อน เพื่อนำไปประกอบกับรายงานการสืบสวน เพื่อจะนำไปสู่การขอศาลอนุมัติหมายจับเพิ่มเติมได้ทันที

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า การสอบสวนเส้นทางการเงิน ขณะนี้ยังมาไม่ครบ เนื่องจากต้องรอเส้นทางการเงินอยู่อีก โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

ฝากราชฑัณฑ์ดูแล‘กำนันนก’

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ได้ฝากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ดูแลเรื่องความปลอดภัยของกำนันนกเป็นพิเศษด้วย แต่การปฏิบัติเท่าเทียมกันไม่มีสิทธิพิเศษ และไม่ทราบชีวิตความเป็นอยู่ภายในเรือนจำว่าเป็นอย่างไร แต่เท่าที่คุยกำนันนก ใช้สิทธิเหมือนคนอื่นไม่มีการใช้สิทธิพิเศษ โดยเหตุผลที่สั่งดูแลความปลอดภัย เพราะกลัวเครียดและคิดสั้น จึงฝากกรมราชทัณฑ์ ดูแลให้ดีเรื่องสุขภาพจิต เพราะคนไม่เคยติดคุกก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา ขนาดตำรวจยังเครียดเลย ส่วนเรื่องความปลอดภัยใครจะไปฆ่าเขาทำร้ายเขาไม่มีหรอก วันนี้อยู่ในเรือนจำก็มีความปลอดภัยอยู่แล้ว และวันนี้ครอบครัวเขาก็ไม่ได้มีการไปร้องขออะไร และไม่มีเรื่องของการข่มขู่ ส่วนโซเชียลเป็นเพจอวตาร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีเรื่องวิ่งเต้นให้กำนันนก ออกจากเรือนจำเพราะปัญหาสุขภาพนั้น ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้มาวิ่งเต้นที่ตน และแน่นอนว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย และวันนี้มีการค้านการประกันตัวไม่ได้ออกต้องอยู่แบบนี้ และทุกอย่างว่าไปตามกระบวนการ วันนี้ต้องทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย

ผบ.ตร.ยันตำรวจดียังมีอีกมาก

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีกำนันนก ว่า คดีนี้ได้กำชับไปแล้วให้ทำตรงไปตรงมาและรัดกุมในทุกมิติ

ผู้สื่อข่าวถามถึงการตรวจค้นหลายจุดในวันนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า อะไรที่เกี่ยวพันกับคดีนี้เป็นหน้าที่ ที่เมื่อมีข้อมูลต่างๆ ก็ต้องไปตรวจค้นนำข้อมูลต่างๆมาประกอบสำนวน

เมื่อถามถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจว่าไปรับใช้ผู้มีอิทธิพล พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ผมยังไม่เชื่ออย่างนั้น ผมเชื่อว่าเป็นแค่ส่วนเดียวแค่บางพื้นที่ บางพื้นที่ที่เขาเรียกบ้านใหญ่กัน ตำรวจส่วนใหญ่ยังเป็นตำรวจที่ดีและไม่ได้อิงกับผู้มีอิทธิพล อยากให้ความเป็นธรรมกับตำรวจทั่วไปด้วยว่ายังมีตำรวจจำนวนมากที่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล อาจจะมีบางส่วนในกลุ่มที่ไปก็ไม่ใช่ว่าจะมีความผิดอะไร ทุกอย่างอย่าพึ่งรีบไปตัดสิน ขอให้ผลการสอบสวนเสร็จสิ้นก่อน

เคลื่อนศพ “ผกก.เบิ้ม” ไปอุตรดิตถ์

เช้าวันเดียวกัน ที่ศาลา 5 วัดตรีทศเทพวรวิหาร ครอบครัว“ยาวไทยสงค์”ประสาน เจ้าหน้าที่ขอนำศพของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล.ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดใหญ่ท่าเสา จ.อุตรดิตถ์ โดยจะมีพิธีฌาปนกิจ ในวันอาทิตย์ที่ 17 ก.ย.นี้ เวลา 15.00 น.

ดีเอสไอเกาะติดคดี

บ่ายวันเดียวกันพ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้นางพิชญา ธารากรสันติ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูลฯ ร่วมกันแถลงรายละเอียดการสืบสวนเครือข่ายบริษัทของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก ผู้ต้องหาในคดีสั่งยิงสารวัตรทางหลวง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือ สารวัตรแบงก์ ที่อาจเข้าข่ายฮั้วประมูลฯ

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวว่า จากที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น อธิบดีดีเอสไอได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้และเนื่องด้วยประชาชนให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ตนได้ทำคดีนี้มาตั้งแต่ปี 2547 แต่อาจไม่เป็นที่สาธารณะรู้จัก และดำเนินการสืบสวนกำหนดเครือข่ายดังกล่าวจนพบว่ามีการประกอบการเกี่ยวกับธุรกิจของรัฐ โดยรับโครงการจากภาครัฐ จำนวน 1,544 โครงการ มูลค่า ณ ตอนนี้ งบประมาณ 7,500 ล้านบาท ราคารวมทุกสัญญา 6,900 ล้านบาท อีกทั้งดีเอสไอมีหน้าที่ในการสืบสวนเรื่องฮั้วประมูลสำหรับโครงการที่มีมูลค่าเกิน 30 ล้านบาท จึงได้ดำเนินการตรวจสอบโครงการของกำนันนกจำนวน 1,544 โครงการ (จำนวนโครงการที่รับงานจากภาครัฐ) และหลังจากดีเอสไอตรวจสอบก็พบว่าโครงการของ ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด มี 2 โครงการ ส่วนของ ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด มี 18 โครงการ ที่มีมูลค่าเกิน 30 ล้านบาท แต่ที่ดีเอสไอเห็นข้อพิรุธคือ 2 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการประกวดราคาจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 375 สาย อ.ดอนตูม - ต.ลำลูกบัว และ 2.โครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 375 สาย ต.ลำลูกบัว - บรรจบทางหลวงหมายเลข 346 ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกรมทางหลวง และดีเอสไอได้รับเอกสารข้อมูลโครงการจากกรมทางหลวงเรียบร้อยแล้ว

พบซื้อซองแล้วไม่ประมูล

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวอีกว่า จากการสืบสวนต่อเนื่อง มีข้อมูลระดับค่อนข้างดี ล่าสุดมีชาวบ้านซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ซื้อซองจากทั้งสองโครงการดังกล่าว ได้แจ้งข้อมูลทางลับมาที่ดีเอสไอ และดีเอสไอมองว่าอาจเข้าข่ายมีพฤติการณ์สมยอมราคากัน กรอบของดีเอสไอ คือ ดำเนินการตรวจสอบโครงการทั้ง 20 โครงการนี้ก่อนตามที่ได้รับข้อมูล โดยจะทำให้เป็นโครงการตัวอย่างก่อน 2 โครงการตามที่เรียนข้างต้น และอาทิตย์หน้าเตรียมรับเป็นคดีพิเศษ ส่วนเรื่องโครงการใดที่เห็นความผิดชัดเจนแล้วนั้น ยังไม่เรียกว่ามีความผิด แต่เรียกว่ามีข้อพิรุธ คือ มีการประมูลในราคาต่ำ หรือเรียกว่าฟันราคา และทั้งสองโครงการนี้ใกล้เคียงกัน คือ กลุ่มได้งานคือกลุ่มเดียวกัน กลุ่มซื้อซองก็ใกล้เคียงกัน อีกทั้งเมื่อเช้านี้จากการที่มีการเข้าตรวจค้น ก็พบว่าในกลุ่มผู้ซื้อซองอาจเป็นคนได้รับผลประโยชน์ได้

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวถึงลักษณะผู้จัดฮั้วประมูล ว่า มีการแตกสาขา กลุ่มใครกลุ่มมัน อาจมีบ้านเล็กบ้านใหญ่ หรืออาจเกี่ยวข้องกับนักการเมืองได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ากำนันนกคงมีลูกมือลูกไม้คอยทำหน้าที่ข่มขู่คุกคามไม่ให้คนเข้ามาเปิดซื้อซอง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเป็นการคีย์ระบบ e-bidding คนซื้อซองไม่จำเป็นต้องรับรู้ แต่ในกรณีนี้อาจจะมีความสามารถในการรับรู้การซื้อซอง แล้วดำเนินการบล็อกไว้ เพราะตอนยื่นซื้อซองของทั้งสองโครงการ มีประมาณ 30 กว่าราย แต่ในวันประมูลเหลือเพียงไม่กี่ราย และในช่วงสัปดาห์หน้า ตั้งแต่วันที่ 18-20 ก.ย.นี้ ได้เรียกบริษัทที่เคยยื่นซื้อซอง จำนวน 58 บริษัทเข้าให้ข้อมูล โดยทยอยเข้าให้ข้อมูลวันละประมาณ 20 บริษัท หากการให้ปากคำเป็นประโยชน์เราก็จะกันเป็นพยาน แต่ถ้าให้ข้อมูลไม่เป็นประโยชน์ อาจแปลได้ว่าสมยอมหรือไม่ และดีเอสไอจะสอบถามเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆรวมถึงจะดูเรื่องเบอร์โทรศัพท์และการติดต่อด้วย เพื่อหาความสัมพันธ์เชื่อมโยง ทั้งนี้ เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เราจะตรวจสอบดูให้ครบทุกมิติ

เผยเริ่มมีการข่มขู่พยาน

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวด้วยว่า มีพยานบางส่วนแจ้งเรื่องข่มขู่มาแล้ว โดยมีพฤติกรรมไม่ให้พยานไปยื่นซองประมูล อ้างว่าโครงการนี้เป็นของผู้ใหญ่ ซึ่งคนที่ถูกข่มขู่นั้น ถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ สำหรับการออกหมายเรียกนายประโยชน์ จันทร์คล้าย และนางสุวีณา จันทร์คล้าย (บิดา-มารดากำนันนก) ดีเอสไออาจจะไม่ได้ออกหมายเรียกพยาน แต่จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนมีความชัดเจน ซึ่งหากพบความผิด หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฮั้วประมูลโครงการของภาครัฐ ดีเอสไอก็จะดำเนินการออกหมายผู้ต้องหาได้ทันที

เตรียมคุ้มครองพยานสำคัญ

ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวปิดท้ายว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอขอบคุณข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง สำนักพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร. หรือ DGA) และองค์การต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) (ACT) และขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า ได้มีบุคคลที่ไม่ประสงค์จะแจ้งตัวตนได้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับพฤติการณ์ของเครือข่ายบุคคลที่เกี่ยวข้องมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการขยายผลการดำเนินคดีกับเครือข่ายได้เป็นอย่างดี และขอให้บุคคล/บริษัท/ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่ได้รับหรือเคยได้รับผลกระทบจากการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการข่มขู่ คุกคาม หรือกีดกัน ไม่ให้เข้าร่วมการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นธรรม จากนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก และเครือข่าย ขอให้แจ้งข้อมูลมายังกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กคร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษโดยเร็ว กรมสอบสวนคดีพิเศษจะพิจารณาในเรื่องการคุ้มครองพยานตามมาตรการคุ้มครองพยาน เพื่อกวาดล้างขบวนการและร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในรูปแบบของผู้มีอิทธิพลอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป