สอวช.จับมือ ม.อ.หนุน ECOtive นิเวศสร้างสรรค์ปัตตานี ยกระดับชุมชน แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน
ปัตตานี เป็นจังหวัดที่มีปัญหาความยากจนเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ สวนทางกับความจริงในอดีต ที่ปัตตานี เคยเป็นเมืองท่าโบราณ ร่ำรวยทั้งวัฒนธรรมและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เชื่อมร้อยสังคมแบบพหุวัฒนธรรม สะท้อนออกมาในรูปของ อาหารของกลุ่มวัฒนธรรมมลายู จีน ไทย งานสถาปัตยกรรมทั้งเรือนพัก อาคารพาณิชย์ วังเก่า สิ่งทอ และเครื่องแต่งกาย รวมถึงดนตรี ศิลปะการแสดง ภายในเมืองปัตตานี เชื่อม 4 ชุมชน ไว้ด้วยกัน ได้แก่ ย่านชุมชนจีนหัวตลาด (กือดาจีนอ) ย่านชุมชนชิโนโปรตุกีส (กลุ่มอาคาร สไตล์ตะวันตก ถนนฤาดี) ย่านชุมชนมลายู (จะบังติกอ) และย่านชุมชนมุสลิม (บริเวณมัสยิด กลางปัตตานี) แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมที่เป็นเสน่ห์ของปัตตานี
ด้วยเห็นในศักยภาพของแต่ละชุมชน ที่สามารถต่อยอดสู่ความเจริญแบบหยั่งรากเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้กับ ชาว จ.ปัตตานี สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จึงร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขาปัตตานี จัดทำโครงการวิจัยและพัฒนาระบบนิเวศสร้างสรรค์ เพื่อการเป็นผู้ประกอบการรายย่อยสู่โมเดลพึ่งตนเอง แก้จนนจังหวัดปัตตานี หรือ ECOtive นิเวศสร้างสรรค์ปัตตานีโมเดล เพื่อพัฒนาและทดลองเชิงนโยบายเพื่อออกแบบกลไกการพัฒนาพื้นที่และเศรษฐกิจฐานราก
ดร.สิรินยา ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจนวัตกรรม สอวช. กล่าวว่า สอวช. ในฐานะหน่วยงานด้านนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเอาความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมไปเป็นเครื่องมือในการช่วยเพิ่มรายได้ประชากรกลุ่มฐานราก โดยเฉพาะคนยากจนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดของทุนด้านต่าง ๆ นวัตกรรมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถนำทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดมาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการเลือกพื้นที่ จ.ปัตตานี เนื่องจากที่นี่ติดอันดับความยากจนมาตลอด และยังเป็นที่ซึ่งคนที่อื่นก็จะไม่ค่อยกล้าเข้ามา การพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมขึ้นในพื้นที่นี้ จึงนับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายของหน่วยนโยบาย อย่างไรก็ตาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมนี้จะช่วยเปลี่ยนมุมมองหลายอย่าง ทั้งคนในเองและคนนอกด้วย สำคัญที่สุดคือเปลี่ยนมุมมองคนที่คิดนโยบายจากส่วนกลาง เพราะเมื่อเราเข้ามาทำความเข้าใจพื้นที่จริง ๆ แล้ว ทำให้เรารู้ว่าแม้ในพื้นที่ที่ถูกมองว่ามีความท้าทายหรือข้อจำกัดมากมาย แต่ผู้คนในพื้นที่กลับมีความกระตือรือร้นมากที่จะพัฒนานวัตกรรม และการนำแนวคิดดังกล่าวเข้าไปในพื้นที่ ไม่ได้เป็นเรื่องยากจนเกินไป แล้วก็เป็นการพัฒนาที่ทุก ๆ ฝ่ายโดยเฉพาะคนในชุมชนที่สุดท้ายแล้วจะมีความสุขกับนโยบายต่าง ๆ ที่ลงมาด้วย เนื่องจากมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันคิดมาตั้งแต่ต้น
“เราอยากจะจุดประกายให้คนในชุมชนสามารถสร้างสรรค์และคิดสิ่งใหม่ ๆ ด้วยตนเอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมาสร้างเป็นมูลค่า เป็นกิจกรรม เป็นสิ่งใหม่ ซื่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นนวัตกรรม กิจกรรมในครั้งนี้ถือว่าบรรลุประสงค์ของโครงการเป็นอย่างมาก และจากที่เราได้ลงมาเห็น มาสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ วัฒนธรรมชุมชน ก็อยากให้ชุมชนตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ให้มาก และพยายามดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้น อย่างไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นมาได้เรื่อย ๆ” คุณสิรินยา กล่าว
รศ.ดร.สมชาย ฉัตรรัตนา ที่ปรึกษา สอวช. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เราได้ความร่วมมือจากชุมชนในพื้นที่ ทั้งผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ช่วยมาประกอบกัน เอาสิ่งละอันพันละน้อยมาร่วมกันจัดขึ้นให้เป็นงานที่น่าสนใจและเป็นที่น่าผ่อนคลาย พักผ่อน และเป็นตลาดธุรกิจเล็ก ๆ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานจากหลายภาคส่วน ได้ให้ความเห็น ให้คำแนะนำ ตั้งคำถาม เหล่านี้เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ชุมชนได้รู้ว่าเขาจะต้องไปปรับปรุงอะไร เพิ่มเติมอะไร ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า เขามาถูกทาง มันสร้างความมั่นใจให้เขา และทำให้การนำเสนอของเขามีชีวิตชีวา หลายผลิตภัณฑ์ที่ชุมชนพัฒนาขึ้นมามีคนอยากซื้อ โครงการ ECOtive มาช่วยเติมเต็มด้วยกระบวนการวิจัย ทำให้มองเห็นชุมชนและมองเห็นเครื่องมือบางอย่างที่จะช่วยให้เกิดชีวิตชีวาในชุมชน ถามว่า ECOtive แตกต่างจากโครงการอื่นอย่างไร ต้องบอกว่าจุดเด่นของโครงการเราคือการใช้ต้นทุนจากสภาวะแวดล้อมของชุมชนต่อยอดด้วยนวัตกรรมขึ้นไปเป็นผลิตภัณฑ์และบริการ ร่วมกับการพัฒนาเครือข่ายที่ช่วยสนับสนุนให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
ด้าน ดร.ศริยา บิลแสละ หัวหน้าโครงการฯ ECOtive กล่าวว่า กิจกรรม ECOtive เป็นการรวมตัวของนักวิจัย ในการที่จะเข้าไปพัฒนาชุมชน ให้มีการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อช่วยเหลือชุมชน โดยการมองทรัพยากรในชุมชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ทุนทางสังคม ที่ประกอบด้วย ทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน การศึกษาต่าง ๆ ที่อยู่ในชุมชน เราเข้าไปพูดคุยกับชุมชน และช่วยกันคิดวิเคราะห์ว่า คนในชุมชนมีศักยภาพอะไรบ้าง ที่เราจะสามารถพัฒนาและดึงศักยภาพของเขาออกมา ในการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของคนในชุมชน ให้พวกเขามีความคิดในเรื่องของการเป็นผู้ประกอบการ เราจะยกระดับปากท้อง สร้างเศรษฐกิจในชุมชนให้ดีขึ้น ทำให้คนในชุมชนลดปัญหาความยากจนลง ทุกคนมีรายได้สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
“ECOtive ทำหน้าที่มองหาและพยายามที่จะสร้างสรรค์ ไอเดีย หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ชุมชน สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริการต่าง ๆ ตอบโจทย์ความต้องการคนในชุมชนเอง หรือแม้แต่คนภายนอกได้ เวลาเราเข้าไปยังพื้นที่ เราจะเห็นศักยภาพของผู้นำ ศักยภาพของคนในชุมชนเอง ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน ที่มีการรวมตัวกัน นำเสนอไอเดีย เช่น อยากจะทำการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรม อันนี้เป็นลักษณะของคนในชุมชนที่เราเข้าไปจุดประกาย พยายามปรับกระบวนการความคิดเขาเพื่อให้คมขึ้นเพื่อเป็นผู้ประกอบการที่สามารถให้บริการ หรือผลิตบางสิ่งบางอย่างออกมาแล้วขายออกสู่ตลาด มีรายได้เข้ามาในชุมชนได้จริง นั่นคือเป้าหมายของเรา” ดร.ศริยา กล่าว
ดร.ศริยา กล่าวด้วยว่า ในช่วงแรกของการสร้าง นิเวศสร้างสรรค์ปัตตานี เพื่อยกระดับปากท้องของชุมชน เรามองว่าเรากำลังถางทาง ขุดค้นแสวงหา กลุ่มคน กลุ่มเยาวชน กลุ่มแกนนำ ที่จะมาเป็นตัวขับเคลื่อนคนในชุมชน เพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาบางสิ่งบางอย่างไปด้วยกันได้ เราเข้าไปเปลี่ยนวิธีคิดที่เป็นแนว Passive คือ แนวแบบนิ่ง ๆ รับอย่างเดียว ให้กลายเป็น Active คือกระตือรือร้นที่จะทำ สามารถกระตุ้นคนในชุมชนให้ Active ตาม และคิดว่าเราผลิตอะไรแล้วขายได้ สามารถเอาเงินหมุนกลับเข้ามาสู่ชุมชน ทำให้คนในชุมชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ดังนั้นพลังของชุมชนคือทุกคนต้องแอคทีฟ เมื่อกระบวนการคิดที่ทำให้เขาได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว นำไปสู่การต่อยอดจากความคิดให้เห็นรูปเห็นร่างของผลิตภัณฑ์และบริการ ที่เมื่อสำเร็จแล้วสามารถออกสู่ตลาดได้ แต่ทั้งนี้เราจะต้องมองว่า สิ่งที่เราผลิตมันจะทำให้เกิดอิมแพคภาพใหญ่ และสามารถขยายโอกาสไปสู่ชุมชนรอบนอก ชุมชนที่มีกลุ่มคนที่สามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น และสินค้าที่เราให้บริการ ตอบโจทย์ตลาดได้
หัวหน้าโครงการ ECOtive กล่าวด้วยว่า ก้าวเล็ก ๆ ของเราเริ่มจากการใช้เฟรมเวิร์คของกระบวนการโค้ช ที่เราเรียกว่า OSCAR model เป็นเฟรมเวิร์ค ที่จะทำให้คนในชุมชนคิดอย่างเป็นระบบ ตัว O คือ Output หรือ Outcome ที่จะให้ชุมชนมองเป้าหมาย และความสำเร็จของเขาว่าคืออะไร ตัว S คือ Situation เป็นสถานการณ์ปัจจุบันของเขาที่มีอยู่ว่าคืออะไร และต้องการให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของเขาไปอยู่ในรูปแบบไหน เขาฝันอยากเห็นเป็นอะไร ตัว C คือ Choice หมายถึงเส้นทางหรือทางเลือก ที่จะทำให้ตัวเขามีโอกาสในการที่จะพัฒนา อย่างไรก็ตามในทุกเส้นทางมีทั้งบวกและลบ ถ้าเป็นบวกเราจะมีเส้นทางที่จะทำให้มันมีการเพิ่มบวกได้กี่อย่าง แต่ถ้าเป็นลบเราจะให้ทางเลือกเลี่ยงที่จะเป็นลบได้อย่างไร ตัว A คือ Action เราจะทำให้ชุมชนปฏิบัติได้อย่างไร ชุมชนจะต้องคิดและวางแผนว่า ในสามเดือน จะทำอะไร 6 เดือน 9 เดือน 12 เดือนทำอย่างไรเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายและต้องใช้เวลากี่ปี ตัวสุดท้ายคือ ตัว R คือ Review เป็นการประเมินตรวจสอบการทำงานของตัวเอง ของชุมชน ในกระบวนการที่คิดทั้งหมด ถ้าคะแนนเต็มสิบเขาให้คะแนนตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่
หัวหน้าโครงการ ECOtive กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการในปีที่ 2 ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยในปีที่ 3 และปีถัด ๆ ไป จะหากลไกที่ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ไม่ใช่แค่การทดลองเชิงนโยบาย แต่เราต้องการพัฒนาชาวชุมชนปัตตานีให้เป็นผู้ประกอบการที่พึ่งพาตนเองได้.-008