‘บิ๊กโจ๊ก’ร่วมประชุมอินเตอร์โพล หนุนใช้‘หมายสีเงิน’อายัดทรัพย์แก๊งข้ามชาติ
29 พฤศจิกายน 2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงการประชุมสมัชชาใหญ่ตำรวจสากล (INTERPOL) ประกอบด้วย ประเทศสมาชิกกว่า 195 ประเทศ ว่า ปีนี้เป็นโอกาสพิเศษครบรอบ 100 ปี หรือหนึ่งทศวรรษของการจัดตั้ง INTERPOL ซึ่งจัดตั้งเป็นครั้งแรกที่ประเทศออสเตรีย และปีนี้ก็ย้อนกลับมาจัดที่ประเทศต้นทางอีกครั้ง โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ตนเข้าร่วมประชุม เพื่อแสวงหาความร่วมมือผ่านแดนในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ คอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
“ผมเห็นด้วยที่ 195 ประเทศสมาชิกอินเตอร์โพลจะใช้หมายสีเงิน (Silver Notice) มาบังคับใช้ในการติดตามทรัพย์สินหรือเส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิด รวมถึงการบันทึกข้อมูลการใช้สื่อของกลุ่มอาชญากร เพื่อติดตามบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในความร่วมมือระหว่างชาติ มุ่งแก้ปัญหาอาชญากรข้ามชาติ ในโอกาสครบรอบ 100 ปีอินเตอร์โพล” รอง ผบ.ตร. กล่าว
สำหรับการประชุมวันแรกเป็นการประกาศรับ ประเทศสมาชิกเพิ่มคือ สาธารณรัฐปาเลา เป็นสมาชิกประเทศที่ 196 และยังได้มีการหารือร่วมกันในการขับเคลื่อนความร่วมมือผ่านแดนในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งทุกประเทศเห็นพ้องต้องกันว่าปัจจุบันกลุ่มคนร้ายหรืออาชญากรสามารถก่อเหตุได้พร้อมพร้อมกันในหลายประเทศและใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นกลไกสำคัญ การจัดการปัญหาต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและประสานความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นเพื่อไล่ล่ากลุ่มอาชญากรในทุกช่องทางโดยเฉพาะพื้นที่ที่กลุ่มอาชญากรมักใช้เป็นแหล่งกบดานหลังการก่อเหตุหรือระหว่างการก่อเหตุ ดังนั้นจะต้องใช้ทั้งความร่วมมือและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ
รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ครั้งนี้ ที่ประชุมใหญ่ตำรวจสากลได้มีการเสนอใช้หมายประเภทใหม่คือ หมายสีเงิน (Silver Notice) ซึ่งจะใช้ในการประสานและแจ้งเตือนประเทศสมาชิกในการช่วยติดตามยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งจะมีประโยชน์ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะตัวแทนประเทศไทยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า แนวทางที่ทุกประเทศกำหนดร่วมกันในครั้งนี้ ภายใต้ แนวคิด ศตวรรษแห่งการเรียนรู้ การทำงานร่วมกัน และนวัตกรรม เพื่อโลกที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ถือเป็นกลไกสำคัญในการร่วมมือปราบปรามอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงแต่เกิดขึ้นได้พร้อมกันหลายหลายพื้นที่ในเวลาเดียวกัน ยังอาจเกิดจาก คนกลุ่มเดียวกันที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายโดยอาศัยประชากรหรือพลเรือนของประเทศนั้นๆ เป็นเครื่องมือ ในการก่ออาชญากรรม ดังนั้นการจัดการปัญหาที่ต้นทางด้วยความรวดเร็วก็จะสามารถหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งประเทศต้นทางและปลายทาง และยังลดความสูญเสียของเหยื่อที่เกิดขึ้นจากอาชญากรข้ามชาติด้วย
การประกาศใช้หมายประเภทใหม่คือ หมายสีเงิน (Silver Notice) ซึ่งจะใช้ในการประสานและแจ้งเตือนประเทศสมาชิกในการช่วยติดตามยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งจะมีประโยชน์ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นแนวทางที่ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยแต่ต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจน และเชื่อมั่นว่า จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในเชิงรุก ทั้งในแง่ของการค้ามนุษย์และการใช้อาวุธที่ผิดประเภท
สำหรับการบังคับใช้หมายแดง (Red Notice) ของประเทศไทยนั้น ตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีการดำเนินการอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2564 ดำเนินการควบคุมจับกุมและส่งต่อได้ 31 หมายขณะที่ปี 2565 ดำเนินการเพิ่มเติมได้เป็น 68 หมายกระทั่งปี 2566 สิ้นสุดที่เดือนตุลาคม สามารถดำเนินการได้ถึง 106 หมาย ภายใต้การกำกับดูแลของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และการล่วงละเมิดทางเพศของเด็ก
ด้านนายเจอร์เก้น สต๊อก เลขาธิการตำรวจสากล กล่าวยืนยันว่า การจับกุมคนร้ายในทุกวันนี้ หากจับกุมเฉพาะในประเทศอย่างเดียว ก็จะไม่สามารถทำให้ปัญหาหมดไปได้อย่างแท้จริง นั่นเป็นเพราะหัวหน้าขบวนการ ยังอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นจึงต้องแสวงหาความร่วมมือทั้งโลก และจับกุมข้ามพรมแดนร่วมกันอย่างบูรณาการ
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี