โฆษกศาลยุติธรรมชี้ความเห็นแย้งของ “หัวหน้าศาล-อธิบดีศาลภาค 4” กรณี“ลุงพล”คดี “น้องชมพู่”ไม่มีผลโดยตรงต่อการวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ย้ำ
ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาคดี ชี้“ลุงพล”ยังยื่นอุทธรณ์สู้คดีได้ ด้านแม่“น้องชมพู่”เตรียมทำบุญอีกครั้งหลังน้องได้รับความเป็นธรรมกรณีศาลสั่งจำคุกลุงพล 20 ปี
ความคืบหน้ากรณีศาลจังหวัดมุกดาหารอ่านคำพิพากษาคดี‘น้องชมพู่’สั่งจำคุก นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล 20 ปี ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ก่อนที่ศาลอนุญาตให้นายไชย์พลใช้หลักทรัพย์ 5 แสนบาทประกันตัวโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 นายสรวิศลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรมเปิดเผยกรณีศาลจังหวัดมุกดาหารพิพากษาจำคุกนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล 20 ปีคดีน้องชมพู่ว่าจำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหารที่ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าควรยกฟ้อง(เห็นแย้ง)เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยนั้นคำเห็นแย้งก็จะอยู่ในสำนวนท้ายคำพิพากษา เมื่อเวลาคดีขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์องค์คณะศาลอุทธรณ์ก็จะเห็นทั้งตัวคำพิพากษาของศาลจังหวัดมุกดาหาร(ศาลชั้นต้น)และความเห็นแย้งซึ่งทางองค์คณะศาลอุทธรณ์ก็จะนำข้อมูลทั้งหมดในสำนวนทั้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นรวมทั้งความเห็นแย้งต่างๆที่คู่ความอุทธรณ์ขึ้นมาประกอบในการพิจารณาทำคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ แต่คำเห็นแย้งดังกล่าวคงไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์โดยตรงเพราะตัวความเห็นหลักยังเป็นความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดมุกดาหาร เพราะองค์คณะผู้พิพากษาเป็นคนสืบพยานเป็นผู้ที่เห็นข้อเท็จจริงในตอนที่พยานมาเบิกความ เห็นข้อเท็จจริงพยานหลักฐานต่างๆอย่างใกล้ชิด
ส่วนน้ำหนักความเห็นแย้งจะมีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองขององค์คณะผู้พิพากษาชั้นอุทธรณ์ หากยังเห็นคล้อยไปตามเสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษาก็เป็นดุลยพินิจของศาลในชั้นอุทธรณ์ที่จะต้องวิเคราะห์วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงจากคำเบิกความที่รับฟังมา ทั้งพยานเบิกความมา จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆมาประกอบกัน และเห็นว่าตัวข้อเท็จจริงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์กับคำเบิกความมีสอดคล้องกันเพียงพอเชื่อมั่นได้ว่าจำเลยน่าจะเป็นคนที่กระทำความผิด
นายสรวิศ ระบุว่าในการบังคับบัญชาของผู้พิพากษาหรือตุลาการไม่เหมือนกับข้าราชการฝ่ายอื่น เพราะถึงแม้ว่าโดยสายของการบังคับบัญชาในองค์กร ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะ จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษา แต่การบังคับบัญชาไม่มีผลต่อการพิพากษาคดี เพราะหลักการพิพากษาคดีเป็นอิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระจากการแทรกแซงภายนอกและภายใน ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลยพินิจในการพิพากษาออกไปได้ โดยที่ไม่ได้เน้นผลของการบังคับบัญชา แต่ในฐานะที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาล เป็นผู้รับผิดชอบราชการในงานของศาลนั้น ก็มีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของศาลอยู่ในแล้ว หากมีอะไรที่เห็นส่วนตัวอาจจะแตกต่างไปจากองค์คณะผู้พิพากษา ก็มีอำนาจตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่จะทำความเห็นไว้ในสำนวนได้
ส่วนที่กลุ่มนักกฎหมายที่ออกมาแสดงความเห็นนั้น ตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่าออกมาแสดงความเห็นอย่างไรบ้างแต่กระบวนการตรงนี้เป็นกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมาย ที่องค์คณะผู้พิพากษามีอิสระในการรับฟังพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยไปตามเหตุและผลจากพยานหลักฐาน ส่วนความเห็นแย้ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากที่ให้อำนาจผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาภาคไว้
ส่วนกรณีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาคมีความเห็นแย้งจะต้องไปนั่งบัลลังก์หรือไม่นั้น เป็นคนละกรณีกัน กรณีที่ไปนั่งในห้องพิจารณาถือเป็นคณะส่วนหนึ่งในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ปกติแล้วคนที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้จะต้องเป็นองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นมาแต่ต้น หรือได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทนที่กรณีสุดวิสัย แต่อำนาจในการตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งเป็นอำนาจเพิ่มเติมที่รัฐธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดมาให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษาศาล หรือประธานศาล แม้จะไม่ได้นั่งพิจารณาเองแต่ในฐานะที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูศาล ก็สามารถตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งไว้ได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีที่สมควรต้องทำความเห็นแย้งไว้
ทั้งนี้องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดปกติจะมี2คน และต้องเป็นคนละองค์คณะกับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่จะมี3คน โดยองค์คณะศาลอุทธรณ์จะเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานในชั้นอุทธรณ์ และได้รับการจ่ายสำนวน การมอบหมายจากประธานศาลอุทธรณ์
โฆษกศาลยุติธรรมระบุว่าส่วนความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีความสงสัยตามสมควรจึงเห็นควรยกประโยชน์ให้จำเลยตรงนี้จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์หรือไม่ระบุว่าคงไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรง เพราะความเห็นแย้งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความเห็นแย้งของเสียงข้างมากในคดีนั้น ดังนั้นผลของคำพิพากษาตัวคำความเห็นแย้งตรงนี้ไม่ได้มีผลในการเปลี่ยนแปลงของคำพิพากษาโดยตรง เพียงแต่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาในชั้นสูงขึ้นไปและเรื่องการยกประโยชน์แห่งความสงสัยเป็นเงื่อนไขปกติในกฎหมายซึ่งในคดีอาญาหลายคดีก็ต้องพิจารณาอยู่แล้วว่าพยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำสืบมามีเหตุทำให้วิญญูชนทั่วไปเกิดความสงสัยได้หรือไม่ว่าตัวจำเลยหรือผู้ต้องหากระทำความผิดจริง ซึ่งพยานหลักฐานเหล่าที่ที่ผู้ทำความเห็นแย้งดูเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกันเพียงแต่บางจุดหรือข้อเท็จจริงบางส่วนอาจจะมีมุมมองที่เห็นต่างกันได้ แต่ในการวินิจฉัยมีหลักอยู่แล้วตามเงื่อนไขของกฎหมายหากมีเหตุสงสัยสามารถยกประโยชน์ให้จำเลยได้
“ความเห็นแย้งของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาล เคยเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะและก่อนหน้านี้ในศาลใหญ่ๆก็เคยมีเหตุการณ์ คล้ายๆกันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องของการตรวจสำนวนตั้งข้อสังเกตไว้ชั้นสำนวนปกติ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ผิดปกติไป ที่ผ่านมาจะเห็นบางคดีที่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาขึ้นไป คำพิพากษาของศาลชั้นสูงก็อาจแตกต่างไปอาจจะกลับหรือแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ เพราะแม้พยานหลักฐานชุดเดียวกันแต่อาจจะมีความเห็นหรือมุมมองที่ต่างกันได้ ผู้พิพากษาแต่ละท่านก็จะใช้ประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวมาดูแต่ละคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน”โฆษกศาลยุติธรรม ย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี