“ปานปรีย์” ถกวอร์รูมเกาะติดการสู้รบในเมียนมา วางกรอบรับผู้อพยพ-ห้ามรุกล้ำชายแดน ส่วนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ประเมินสถานการณ์รายชั่วโมงย้ำ 3 แนวปฏิบัติ ขณะที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ยังได้ยินเสียงระเบิดดังในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ไม่ชี้ชัดเกิดจากทหารเมียนมาหรือฝ่ายต่อต้าน
เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายปานปรีย์พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา เป็นครั้งแรก หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงนามแต่งตั้ง โดยมีนายสีหศักดิ์พวงเกตุแก้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงกลาโหมปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสารนิเทศ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศอธิบดีกรมเอเชียตะวันออกเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นการหารือเพื่อประเมินภาพรวมสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ทั้งการเตรียมแนวทางรองรับการรับผู้อพยพจากความไม่สงบในเมียนมา การรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ รวมถึงการรุกล้ำเขตแดน แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเกิดขึ้นเป็นเฉพาะจุด ยังไม่มีการขยายวงกว้างมากนัก ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดทางกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้แถลงข่าว
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา ว่าได้มีการประเมินสถานการณ์ซึ่งค่อนข้างยังไม่แน่นอน ต้องประเมินเป็นรายชั่วโมง และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายปานปรีย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ จะลงพื้นที่ซึ่งจะเห็นภาพชัดมากขึ้นในหลายเรื่อง ทั้งสถานการณ์สู้รบฝั่งเมียนมา การดูแลความสงบเรียบร้อยของคนไทย และให้ความช่วยเหลือผู้อพยพตามหลักมนุษยธรรม
นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมได้สรุป 3 หลักการที่จะใช้บริหารจัดการในการรับมือการสู้รบในเมียนมา คือ 1.ยึดมั่นการรักษาอธิปไตยของไทย เป็นเรื่องหลัก ดูแลคนไทยไม่ให้ได้รับผลกระทบ
2.ไม่ให้ใช้ดินแดนของไทยดำเนินกิจกรรมในการต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติตามปกติอยู่แล้วและ 3.ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมกับทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ ถือเป็นหัวใจในการดำเนินการอยู่แล้ว
นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายปานปรีย์ ได้สั่งการให้สภาความมั่นคงแห่งชาติติดตามสถานการณ์ และเป็นหน่วยงานหลัก ส่วนกระทรวงการต่างประเทศจะดูแลและพูดคุยในส่วนของต่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ ที่ให้ความช่วยเหลือต่างๆ และการประสานงานกับอาเซียนเพื่อแสดงท่าที ส่วนรายละเอียดหลังจากนี้ให้รอฟังภายหลังนายปานปรีย์ลงพื้นที่ เพื่อไปดูว่าแผนที่วางไว้เป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่ และพร้อมดูแลหากมีผู้อพยพเข้ามามากขึ้น แต่โดยภาพรวมไม่สามารถควบคุมตัวเลขคนเข้าออกได้ เพราะคนที่อพยพเข้ามาคือคนที่รู้สึกไม่ปลอดภัยและหนีอันตรายเข้ามา ซึ่งเราก็รับและให้ความช่วยเหลือหมด ส่วนการเดินทางกลับไปถิ่นฐานเดิมนั้นให้ดูที่ความสมัครใจและต้องแน่ใจว่าเขาปลอดภัย ดังนั้นตัวเลขเข้าออกจึงมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีแนวโน้มจะมีการตั้งกองกำลังในประเทศไทยหรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า ตั้งกองกำลังในฝั่งไทยไม่ได้ และไม่มีแนวโน้ม ซึ่งเป็นจุดยืนที่ตนย้ำในที่ประชุมว่าเราไม่อนุญาตให้ใช้ดินแดนไทย เป็นฐานในการปฏิบัติการ และทางเมียนมาก็ทราบดี ถึงแนวปฏิบัตินี้เมื่อถามว่าจะมีการเจรจากับกลุ่มกองกำลังหรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า เราพร้อมมาตลอด แต่ไม่สามารถทำเองได้หากไม่ได้รับการร้องขอจากฝั่งเมียนมาว่าอยากให้ไทยเข้าไปมีบทบาทช่วยเจรจากับทุกฝ่าย ซึ่งเราพร้อมอยู่แล้ว เพราะปัจจุบันยังไม่มีการร้องขออะไร คาดว่าน่าจะมีการหารือเป็นการภายในกันเองอยู่
“ยอมรับว่าประเทศไทยมีความกังวล เพราะไม่อยากให้เพื่อนบ้านสู้รบกันภายใน พูดกันมาตลอดว่าอยากให้เกิดสันติภาพ มีเสถียรภาพความมั่นคงในเมียนมา แต่ถ้ามองบทบาทของไทยในอนาคต หากทุกฝ่ายเห็นว่าไทยพร้อม และต้องการให้เข้าไปมีบทบาทในการเจรจากับทุกฝ่ายเราก็พร้อม” นายนิกรเดช กล่าว
ขณะเดียวกัน ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์สู้รบระหว่างทหารเมียนมากับฝ่ายต่อต้าน ในพื้นที่ จ.เมียวดี ตรงข้าม ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ว่าชาวเมียนมาและชาวไทยในพื้นที่ ต.ท่าสายลวด แม่ตาว และแม่สอด ได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้นหลายนัด เป็นเวลาประมาณ 1 นาที แต่ยังไม่เป็นที่ยืนยันว่าทหารเมียนมาใช้เครื่องบินมาทิ้งระเบิด หรือฝ่ายต่อต้านใช้โดรนทิ้งระเบิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าได้มีทหารเมียนมาที่แตกทัพไปช่วงก่อนหน้านี้ รวมตัวกันประมาณ 200 นาย เพื่อจะชิงค่ายผาซอง หรือกองพัน 275 คืนจากฝ่ายต่อต้าน โดยจะเข้าไปสมทบกับทหารกองพล 55 ที่กำลังเดินทางมายังเมียวดี เพื่อชิงเมืองเมียวดีคืน ซึ่งขณะนี้อยู่ในพื้นที่กอกาเลก
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะนี้ผู้หนีภัยจากการสู้รบเหลือเพียง 983 คน ในเวลา 18.00 น.วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา จากพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 2 แห่ง คือที่ท่าทรายรุจิรา ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก และที่บ้านหนองหลวง อ.อุ้มผาง รวม 77 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ไทย มีทั้งทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ตำรวจ สภ.แม่สอด และกองร้อย ตชด.ที่ 346 อ.แม่สอด ยังคงดูแลเฝ้าระวังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งผู้ลี้ภัยที่ขอกลับไปด้วยความสมัครใจ มีเจ้าหน้าที่ทหารให้การดูแลด้านความปลอดภัยจนลงเรือข้ามไปฝั่งเมียนมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี