ทนายเข้าเยี่ยม “บอสพอล” ให้เซ็นมอบอำนาจดำเนินคดีลอต 2 กับเจ้าของเพจดังพาพยานอ้างเป็นคนสนิทบอสพอลไปพบตำรวจปมโอนเงินคริปโตฯ รวมถึงลอต 3กรณีทนายดังโทรหาเรียก 7 ล้านแลกไม่พาผู้เสียหายไปแจ้งความ ตกบ่ายสั่งทนายแจ้งความเอาผิดเพิ่มอีกลอตเป็นกลุ่ม 2 พันแม่ข่าย ตีเนียนเป็นผู้เสียหาย เปิดผลตรวจเส้นทางเงิน 3 บอสดารา รับตรงดิไอคอน “บอสกันต์” อยู่นานสุดรับส่วนแบ่ง4 ปีเกือบ 80 ล้าน “บอสมิน” รับ 2 ปี 11 ล้าน “บอสแซม” รับ 2 ปี 3.2 ล้าน
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า วันนี้ตนเข้าพบบอสพอล เพื่อนำเอกสารให้ลูกความลงนามมอบอำนาจให้ตนไปดำเนินการตามออเดอร์ที่ 2 ตรวจสอบและพิจารณาที่จะดำเนินคดีกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับบอสพอล นำข้อมูลว่าบอสพอล โอนเงินไปต่างประเทศ เปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี ซึ่งตำรวจออกมายืนยันแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวเชื่อถือไม่ได้
บอสพอลสั่งทนายฟ้องกลับล็อต2-3
นายวิฑูรย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังดำเนินการออเดอร์ที่ 3 แจ้งความดำเนินคดีกับทนายความชื่อดังคนหนึ่งในทนายดรีมทีม ทนายคนดังกล่าวโทรศัพท์ไปหาบอสพอลเพื่อเจรจาต่อรองให้บอสพอลจ่ายเงิน 7 ล้านบาทแลกกับการไม่นำผู้เสียหายกลุ่มนี้ไปแจ้งความดำเนินคดี โดยจะใช้เอกสารมอบอำนาจของบอสพอลเตรียมไปดำเนินคดีแจ้งความกลับในวันหน้า ยังไม่ใช่เร็วๆนี้ เพราะตนต้องตรวจสอบพยานหลักฐานก่อน
ยังไม่ยื่นประกันขอดูหลักฐานสู้คดี
ส่วนการยื่นขอประกันตัวชั่วคราวบอสพอล และอีก 10 บอสในความดูแลของตนเองนั้น นายวิฑูรย์เผยว่า จะยังไม่เกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้แน่นอน จะขอใช้เวลาดูเอกสารพยานหลักฐานสำหรับการต่อสู้คดี สำหรับการเยี่ยมญาติของคุณแม่บอสพอลวานนี้ ตนยังไม่ได้คุยกับท่าน แต่ส่วนใหญ่คุณแม่ก็ได้โทรศัพท์มาสอบถามว่าตนจะยื่นประกันตัวบอสพอลช่วงใด และสอบถามไทม์ไลน์การทำงานของตน ตนก็อธิบายแนวทางการทำงาน แม้ท่านจะอยากให้ลูกชายได้ประกันตัวไว ๆ แต่ก็เข้าใจการทำงานของตน
ไม่เชื่อยอดผู้เสียหายที่ทนายตั้มอ้าง
ส่วนกรณีทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กระบุ เรื่องที่ทนายบอสพอล อ้างว่า 1 ในทนายดรีมทีมรีดเงิน 7 ล้าน พร้อมท้าให้เปิดคลิปแฉเลยว่ารีดเงินให้ตัวเอง หรือให้นำเงินมาคืนผู้เสียหายนั้น ทนายวิฑูรย์เผยว่า การโพสต์เฟซบุ๊กของทนายตั้มถือเป็นเรื่องดี เพราะคลิปเสียงใช้ในชั้นศาลไม่ได้ แต่การโพสต์จะช่วยให้ตนตรวจสอบได้ว่าผู้เสียหายของทนายตั้มถึง 7 ล้านบาทจริงหรือไม่ และถ้าพูดให้ยุติธรรมคือทนายตั้มก็ขอให้คืนผู้เสียหาย แต่ก็ต้องบอกว่ายังไม่ชัดเจนเลยว่ากลุ่มนี้คือผู้เสียหายจริงหรือไม่ ดังนั้น อันดับแรกตนจะไปตรวจสอบกลุ่มผู้เสียหายที่ทนายตั้มกล่าวอ้างก่อนว่าเป็นกลุ่มเปราะบางประมาณ 30 รายจริงหรือไม่ และมีจำนวนสอดคล้องกับยอดเงิน 7 ล้านบาทจริงหรือ ถ้าไม่ถึงก็แปลได้ว่าส่วนต่างในเงินก้อนนี้ ทนายตั้มเอาไปหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้เสียหายจะถึง 100 รายจริงหรือไม่ ตนไม่ทราบ จะมาจากใคร มาจากทนายตั้มจริงหรือไม่ ต้องไปตรวจสอบและหารือกับทนายความคนอื่นอีกครั้ง
ยันมีคลิปรีด7ล.เลขาบอสพอลอัดไว้
กรณีที่ทนายตั้มกล่าวอ้างว่าฝั่งบอสพอลเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาทนายตั้มก่อนในวันที่ 15 ตุลาคม เพื่อเจรจาเรื่องเงิน 7 ล้านบาทให้ชดใช้จ่ายกลุ่มผู้เสียหายนั้น ทนายวิฑูรย์ชี้แจงว่า ทนายตั้มบันทึกภาพหน้าจอแค่กรณีวันที่ 15 ตุลาคม แต่วันที่ 16 ตุลาคมและ 17 ตุลาคมไม่มีการบันทึกภาพหน้าจอ นอกจากนี้ ตนทราบว่าทนายตั้มเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหานายกลด เศรษฐนันท์ หรือบอสปีเตอร์ก่อน จากนั้นบอสพอลจึงโทรศัพท์ไปหาทนายตั้ม เหมือนโทรศัพท์ไปมา ตนจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นคนโทรศัพท์ไปก่อน ขอคุยรายละเอียดกับบอสพอลก่อน อย่างไรก็ตาม ทราบเบื้องต้นว่ามีการเจรจาเรื่องนี้จริง เลขาส่วนตัวของบอสพอลได้บันทึกเสียงสนทนาการเจรจาเรื่องเงิน 7 ล้านบาทนี้ไว้ เป็นการสนทนาระหว่างทนายตั้มและบอสพอล แต่การจ่ายเงินยังไม่เกิดขึ้น เพราะบอสพอลถูกจับก่อน
จ่อเปิดคลิปเรียกรับเงินล็อต2สัปดาห์หน้า
ทนายวิฑูรย์กล่าวอีกว่า ส่วนจะนำคลิปเสียงสนทนาเรื่องเจรจาเงิน 7 ล้านบาทไปมอบให้ตำรวจกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) หรือไม่ ตนขอดูหลักฐานแวดล้อมทั้งหมดก่อน เพราะศาลไม่ได้รับฟังเรื่องคลิปเสียง หากตนได้คลิปเสียงดังกล่าวจะดูความเหมาะสมแล้วจะเปิดเผยอีกครั้ง ดังนั้น วันนี้ตนคงไม่ได้เดินทางมา บช.ก. ส่วนเรื่องคลิปเสียงทนายดังเรียกรับเงิน ยังไม่ได้ฟัง เพราะอยู่ที่เลขาฯบอสพอล ซึ่งตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูล สัปดาห์หน้าคาดว่าจะเดินทางไป บช.ก.เพื่อเปิดเผยคลิปเสียงดังกล่าว
‘ทนายตั้ม’โต้รีด7ล.-ท้าเปิดคลิปแฉ
สำหรับประเด็นดังกล่าว ก่อนหน้านี้ นายษิทรา หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์เฟซบุ๊กระบุ “เรื่องที่ทนายบอสพอล อ้างว่า 1 ในทนายดรีมทีมรีดเงิน 7 ล้าน เปิดคลิปแฉเลยครับ ว่ารีดเงินให้ตัวเอง หรือให้นำเงินมาคืนผู้เสียหาย?” ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าหมายถึงใคร เพราะตนไม่มีเบอร์บอสพอล ไม่เคยอยากโทรหา แต่ถ้าหมายถึงตน บอสพอลเป็นคนโทรมาเอง แล้วตนบอกให้จ่ายผู้เสียหายกลุ่มเปราะบางเซ็ตแรก 30 คน คนละ 250,000 ยอดไม่ใช่ 7 ล้าน แต่เป็น 7.5 ล้าน ตอนนั้นตนนั่งอยู่ในรายการอาจารย์ยิ่งศักดิ์ เทปวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ในรายการตนยังบอกเลยว่ามีคนสำคัญโทรมา แล้วตนจึงบันทึกเบอร์ เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดหลังจากที่พาผู้เสียหายกว่า 100 คน เข้าแจ้งความหมดแล้ว
ตำรวจสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯว่า ช่วงเวลา 10.35 น. ตำรวจสอบสวนกลางเดินทางเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติมผู้ต้องขังบางคน แต่ไม่ได้มีการระบุชื่อว่าสอบปากคำใครบ้าง และไม่ได้บอกรายละเอียดอื่นๆ เนื่องจากอยู่ในสำนวนคดี
ชี้ผู้ต้องหาสะสมของปลอมไว้โชว์รวย
วันเดียวกัน ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด ฟอกเงินทางอาญา แถลงถึงกรณีสังคมตั้งข้อสงสัยว่าระดับผู้บริหารบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปฯจะใช้วิธีซุกซ่อนโยกย้ายทรัพย์สินปลอมว่า มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ต้องหาจะซื้อทรัพย์สินเหล่านี้ไว้สำหรับจัดฉาก เพื่อนำมาโชว์อ้างว่าการทำธุรกิจนี้ทำให้ร่ำรวย ขณะที่บางคนอาจมองไม่ออก เพราะถ้าเป็นสินค้าแท้มูลค่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม ตนขอย้ำว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีแรกที่มีการสะสมของปลอม เพราะคดีแชร์ Forex-3D ก็มีทรัพย์สินหลายรายการที่เป็นของปลอม ทั้งนี้ ดีเอสไอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบทรัพย์สินว่าของแท้หรือปลอม จึงต้องส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการกับทรัพย์สินแทน ซึ่งเรื่องการชี้เบาะแสเรื่องทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นพลเมืองดีที่ช่วยแจ้งสถานที่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบนั้น บ่งบอกพฤติการณ์ชัดเจนว่ามีการกระทำซุกซ่อนและมีผู้เกี่ยวข้องกับผู้บริหารของบริษัท ดิไอคอนฯ เชื่อได้น่นอนว่าเป็นทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิดในคดี เจ้าหน้าที่จึงต้องเข้าไปดำเนินการก่อนจะมีการโยกย้ายทรัพย์สินออกไปที่อื่น
ดีเอสไอเดินหน้ายึดอายัดทรัพย์เพิ่ม
“ยืนยันว่าดีเอสไอมีความพยายามติดตามทรัพย์ สินที่เกี่ยวข้องจากการทำความผิด เพื่อที่จะได้นำมาเยียวยาผู้เสียหายได้มากที่สุด หากเป็นของแท้ ความโชคดีจะเป็นของผู้เสียหาย แต่ถ้าไม่ใช่สินค้าแท้ มันก็ยังมีมูลค่าอยู่ดี แค่มูลค่าอาจจะลดลงเท่านั้น” ร.ต.อ.วิษณุ ระบุ และว่า หลังจากนี้ดีเอสไอจะมีปฏิบัติการยึดและอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมแน่นอน รวมถึงขอให้กำลังใจ ผู้ที่แจ้งเบาะแสซุกซ่อนทรัพย์สินของบริษัทดิไอคอนฯขอให้มั่นใจว่าการแจ้งเบาะแส การชี้เป้าของท่านไม่ได้ทำให้พนักงานสอบสวนหลงทาง ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
เปิดเส้นทางการเงิน3บอสดารา
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป กับกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย โดยเฉพาะกลุ่มบอสดารา หลังเจ้าหน้า ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมตรวจสอบกับตำรวจสอบสวนกลางพบว่า นายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบันมีเงินโอนจากบัญชีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป เข้าบัญชี 33 ครั้ง รวมเป็นเงิน 79,482,686.80 บาท แบ่งเป็นปี 2564 จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5,756,928.32 บาท, ปี 2565 จำนวน 15 ครั้ง รวมเป็นเงิน 41,836,164.64 บาท ปี 2566 จำนวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 23,515,753.04 บาท,ปี 2567 จำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,373,840.80 บาท
ส่วนน.ส.พิชญา วัฒนามนตรีหรือบอสมิน รับโอนเงินจากบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป ตั้งแต่ปี 2566 – 2567 จำนวน 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 11,390,847.44 บาท แบ่งเป็นปี 2566 จำนวน 7 ครั้ง เป็นเงิน 8,548,024.34 บาท ปี 2567 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 2,842,823.10 บาท ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแซม ตั้งแต่ปี 2566-2567 รับโอนเงินเข้ามา 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,194,614.80 บาท แบ่งเป็นปี 2566 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 1,861,391.48 บาท ,ปี 2567 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 1,333,223.32 บาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี