8 พฤษภาคม 2568 ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมป์ ถนนพหลโยธิน มีผู้เสียหายประมาณ 70 ราย ถูกเจ้าของหอพักแห่งหนึ่งย่านรังสิต จ.ปทุมธานี เอาเปรียบจากการเปลี่ยนสัญญาเช่ากลางคัน จึงนำเรื่องราวมาร้องทุกข์ต่อสภาทนายความโดยมีดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ และนายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ ร่วมกันรับหนังสือและแถลงข่าวร่วมกัน
ดร.วิเชียร นายกสภาทนายความ กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องแล้วจะมีการสอบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายที่มาในวันนี้รวมถึงคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรังสิตที่เป็นตัวแทนของผู้เสียหายบางส่วน เพื่อให้ทนายความอาสาได้ลงรายละเอียดไว้เป็นข้อมูล ส่วนอีกด้านหนึ่งตนจะรีบตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
เมื่อถามว่าหากพบว่าเป็นความผิดทางอาญา ทางสภาทนายความจะทำอย่างไรต่อไป นายวิเชียร กล่าวว่า การดำเนินคดีอาญามี 2 แนวทาง แนวทางแรกคือการแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน และเข้าสู่กระบวนการของพนักงานอัยการและนำคดีขึ้นชั้นศาล กรณีนี้ผู้เสียหายสามารถเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ในบางข้อหา และอีกช่องทางหนึ่ง ถ้าผู้เสียหายประสงค์ดำเนินคดีด้วยตนเอง สภาทนายความยินที่ที่จะเข้าไปเป็นทนายความให้กับผู้เสียหาย หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอก สภาทนายความยินดีที่จะช่วยประสานงาน แต่ดูแล้วกรณีนี้พยานหลักฐานต่าง ๆ อยู่ที่ผู้เสียหายเป็นส่วนใหญ่ จำนวนผู้เสียหายเบื้องต้น 70 ราย และยังมีส่วนที่มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทนอีกด้วย ซึ่งตนคาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้เนื่องจากผู้เสียหายบางรายยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเองเนื่องจากกลัวเรื่องอิทธิพล
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าเกี่ยวกับหอพักซึ่งมีกฎหมายควบคุม คุ้มครองหลายฉบับ โดยธุรกิจหอพักเป็นธุรกิจเพื่อให้เช่าพักอาศัย ไม่ใช่การประกอบธุรกิจ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีหน้าที่กำกับดูแล เนื่องจากมีระเบียบเกี่ยวกับการเช่าเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้อเท็จจริงที่ตนกล่าวได้รับมาจากสื่อออนไลน์ยังไม่ได้สอบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งตนขอยกประเด็นที่เกี่ยวกับเจ้าของหอพักมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่า โดยที่ผู้เช่าไม่ยินยอม อาจเข้าข่ายปลอมอปลงเอกสารซึ่งเป็นความผิดทางอาญา
สำหรับประเด็นต่อมาคือการที่นักศึกษาคนหนึ่งอยากย้ายออกจากหอและให้พ่อของตัวเองเข้ามารับปรากฏว่าถูกเจ้าของหอพักกักขัง การกระทำดังกล่าวกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจเจ้าของหอพักไว้ เป็นการละเมิดกฎหมายฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นทำให้สูญเสียเสรีภาพ ซึ่งทั้งสองประเด็นที่กล่าวไปยอมความไม่ได้เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีบางรายที่ถูกยึดเอกสารสำคัญ และ Ipad ซึ่งต่อให้ผู้เช่าผิดสัญญาเช่าก็ตาม แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าของหอพักที่ไปยึดทรัพย์ของผู้เช่า แน่นอนว่าเป็นความผิดเข้าข่ายการลักทรัพย์อย่างแน่นอน
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่าว่าส่วนประเด็นใดที่เป็นความผิดอาญาแผ่นดินจะมีอายุความ 5 ปี ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในระยะเวลา 5 ปี ก็สามารถดำเนินคดีได้ และตนกังวลว่าเรื่องนี้จะเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ แต่ดูจากจำนวนผู้เสียหายแล้วนี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนของภาครัฐจะต้องเข้ามาดูแลทั้งเรื่องการก่อสร้าง สัญญาดูแลผู้เช่า การทำธุรกิจหอพักถูกต้องหรือไม่ เช่นมาตรการรักษาความปลอดภัย ทางหนีไฟ สุขลักษณะ มีการต่อสัญญาขออนุญาตเปิดหอพักหรือไม่ โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีให้กับภาครัฐเรียบร้อยหรือไม่ และบางรายงานข่าวกล่าวว่าเจ้าของหอมีความใกล้ชิดผู้มีอิทธิพล ทางสภาทนายความ ถ้าประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะเราจะเข้าไปดำเนินการให้เด็ดขาด เพราะอิทธิพลไม่สามารถอยู่เหนือสภาทนายความได้ อย่างไรก็ตามถ้าข้อเท็จจริงสาวถึงตัวบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง อาจจะเข้าข่ายเป็นตัวการร่วมและสนับสนุนหรือรู้อยู่แล้วว่าถูกเอาชื่อไปอ้างและยินยอมก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
นายวีรศักดิ์ กล่าวเสริมว่า สำหรับผู้เสียหายและตัวแทนผู้เสียหายที่จะมาขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความ หากว่ามีรายใดเคยแจ้งความร้องทุกข์ผ่านพนักงานสอบสวนไม่ว่าสถานีตำรวจที่ไหน และมีข้อมูลคัดถ่าย บันทึกประจำวัน ตนขอให้ถ่ายสำเนานั้นไว้และยื่นขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าหากว่าไม่มี แต่จำวันและสถานีตำรวจที่แจ้งความ และเลขข้อประจำวัน สามารถไปขอข้อมูลมาได้ทางเราจะได้ติดตามความคืบหน้าว่าสถานะของคดีนี้ถึงขั้นตอนไหนแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี