ทลายแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ สร้าง 2 พันเว็บขายสินค้าทิพย์ เสียหายทั่วโลก 2 พันล้าน

ทลายแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ สร้าง 2 พันเว็บขายสินค้าทิพย์ เสียหายทั่วโลก 2 พันล้าน

วันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 15.32 น.

DSI จับแก๊งสเเกมเมอร์ข้ามชาติ สร้างเว็บขายของทิพย์ 2,000 เว็บไซต์ เสียหายทั่วโลก 2,000 ล้านบาท  ระบุต่างชาติ 3 ราย  ส่วนใหญ่ใช้วีซ่าครูสอนภาษาในโรงเรียน พร้อมประสาน ตม. ตรวจสอบขยายผล ส่วนชาวไทย 6 รายเป็นพี่เลี้ยง คาดมีเครือข่ายโยงใยทั่วโลก 

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  และ ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจค้น จับกุมแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ สร้างเว็บไซต์กว่า 2,000 เว็บไซต์ หลอกลวงให้ซื้อสินค้าบริการที่ไม่มีอยู่จริง มูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท


พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า สำหรับคดีพิเศษที่ 118/2566 กรณีการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาแก๊งสแกมเมอร์ชาวต่างชาติ ร่วมกับคนไทย ซึ่งเป็นตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้หน่วยงานเรื่องรัฐดำเนินการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยคดีนี้มีที่มาจากช่วงปี ค.ศ. 2019 ดำเนินการโดย กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พบว่า มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการหลอกลวง ฉ้อโกงทางออนไลน์ เนื่องด้วยเมื่อครั้งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการหลอกลวงให้ซื้อถุงมือยางและอุปกรณ์การแพทย์ จึงได้มีการตั้งเรื่องคณะพนักงานสืบสวน และเมื่อสืบสวนจึงพบว่ามีกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย และใช้เงื่อนไขต่าง ๆ ให้สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปเป็นครูสอนภาษาในโรงเรียน หรือการจดทะเบียนกับคนไทย จากนั้นจึงได้มีการไปเปิดบริษัทขึ้นมาเพื่อหลอกลวงขายสินค้า มีการเปิดบัญชีม้ากว่า 500 บัญชี มีการเปิดบริษัทมากกว่า 100 แห่ง ซึ่งกรณีนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม นอกจากนี้ กลุ่มผู้ต้องหายังมีการเปิดเว็บไซต์ 2,000 เว็บไซต์ มีทั้งทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เจ้าดัง เพื่อใช้ในการหลอกลวงขายสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การหลอกให้รัก หลอกขายสินค้า หลอกกรอกข้อมูล เป็นต้น และเมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวนชัดเจน พบการกระทำความผิด จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ ศาลอนุมัติหมายจับ 24 หมาย ตรวจค้น 11 จุดในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพ นนทบุรี นครปฐม กาญจนบุรี จันทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และกระบี่ ซึ่งปัจจุบันนี้สามารถจับผู้ต้องหาได้แล้ว 9 ราย คือ ชาวไนจีเรีย 1 ราย ชาวแคเมอรูน 2 ราย และชาวไทย 6 ราย อยู่ระหว่างนำตัวมาควบคุมเพื่อดำเนินคดี แจ้งสิทธิผู้ต้องหา และดำเนินการสอบสวนปากคำตามขั้นตอนต่อไป

อธิบดีDSI กล่าวว่า มี 9 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย 1.นายลีวินุส (Mr.Livinus) สัญชาติไนจีเรีย 2.นายเดอริค (Mr.Derrick) สัญชาติแคเมอรูน 3.นายกอง (Mr.Ghong) สัญชาติแคเมอรูน 4.น.ส.จิตรภัสร์ (สงวนนามสกุล) 5.นายธนิชภพ (สงวนนามสกุล) 6.นายอนุชาติ (สงวนนามสกุล) 7.น.ส.จันทรัตน์ (สงวนนามสกุล) 8.น.ส.ปณัสยา (สงวนนามสกุล) และ 9.น.ส.อรวรรณ (สงวนนามมสกุล) สัญชาติไทย ในข้อหากระทำความผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนด้วยการแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ได้แก่ วอลเล็ท (กระเป๋าเงินดิจิทัล) 2 กระเป๋า รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คัน วัตถุมีลักษณะคล้ายทองแดง ประมาณ 15 ตัน โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง แท็บเล็ต 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 13 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 21 เล่ม และพยานวัตถุอื่น 

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยอีกว่า เรื่องนี้ถือเป็นความเสียหาย เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ภายในประเทศไทย เนื่องจากพบผู้เสียหายชาวต่างชาติประมาณ 114 ราย จาก 15 ประเทศ ประกอบด้วย ไต้หวัน ตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนเธอร์แลนด์ อียิปต์ สหราชอาณาจักร เวียดนาม ศรีลังกา สเปน ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย มูลค่าความเสียหายราว ๆ 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบเรื่องเงินคริปโตเคอเรนซีที่ผู้ต้องหานำมาใช้ในการกระทำความผิด

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยว่า หากดูจากในแผนผังแผนประทุษกรรมกลุ่มผู้ต้องหา พบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเข้าพำนักในประเทศไทยผ่านการใช้วีซ่าเงื่อนต่าง ๆ มีการเปิดบริษัทและเป็นกรรมการ 145 แห่ง มีการใช้บัญชีม้า 512 บัญชี โดยเป็นการเปิดกับสถาบันการเงินหลายเจ้า ประมาณ 8 ธนาคาร อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ต้องหามีการสำรวจใช้จิตวิทยาความต้องการสินค้าของประชาชนในประเทศนั้น ๆ ว่าต้องการสินค้าประภทใดบ้าง ก็จะทำการพุ่งเป้าหลอกขายสินค้าปลอมกับผู้เสียหาย

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยต่อว่า สำหรับพฤติการณ์ของผู้ต้องหานั้น ส่งผลเสียและสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย ทั้งระบบเศรษฐกิจ การเสียโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งหลังจากนี้ทางดีเอสไอจะไปตรวจสอบเครือข่ายทั้งหมด เพราะเชื่อว่ายังผู้ร่วมกระทำความผิดในต่างประเทศร่วมด้วย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามตัว

ด้าน ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กล่าวว่า กลุ่มเครือข่ายผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่กระทำผิด อาจมีการรู้จักมักคุ้นกันจึงชวนกันมามีรายได้เสริมที่ไม่เหมาะสม ส่วนคนไทยเหมือนมาเกี้ยวพาราสี ชักชวนหลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจ ซึ่งตอนแรกอาจจะดูไม่ออกว่าเป็นธุรกิจสีเทาหรือสีดำ เพราะผู้ต้องหาบางรายเริ่มทำตั้งแต่ปี 2559 บางคนอาจจะอยู่มาตั้งแต่ต้น หรือบางคนเพิ่งเข้ามาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว บางคนเข้ามาแล้ว 5 ปี บางคนเดินทางเข้า-ออก ซึ่งแม้ธุรกิจมีรายได้จริง แต่ก็ไม่มีงบสมดุลสอดคล้องกับเส้นทางการเงินธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากเส้นทางการเงินมีจำนวนมากกว่างบดุลหลายเท่า 

โดยในส่วนผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่มีอาชีพเป็นครูสอนภาษาก็ต้องไปขยายผลตรวจสอบว่าเป็นเพียงอาชีพเสริมหรือไม่ แล้วก็ต้องดูคุณสมบัติของการที่ได้ต่ออายุวีซ่าในฐานะคุณครูผู้สอนภาษา ว่าเป็นคุณครูสอนภาษาจริงหรือไม่ แล้วสถานศึกษามีการอนุญาตต่อวีซ่าอย่างไรบ้าง ซึ่งจะต้องประสานข้อมูลกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)
///

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top