เรียนรู้บทเรียนจาก “ต้นแบบเมืองยั่งยืน” โคเปนเฮเกนเชิญ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ศึกษางานวางผังเมือง แผนรับมือโลกร้อน คมนาคมสีเขียว รับมือภัยพิบัติและอุทกภัย
วันที่ 17 มิ.ย.68 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางเยือนโคเปนเฮเกน ราชอาณาจักรเดนมาร์กระหว่างวันที่ 16 – 19 มิ.ย. 68 หารือและแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเมืองในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนของราชอาณาจักรเดนมาร์ก ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์กในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน โดย นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายวิศณุ ทรัพย์สมพล และนายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนกรุงเทพมหานคร (Chief Sustainability Officer: CSO) นายคุณานพ เลิศไพรวัลย์ ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่สำนักสิ่งแวดล้อม และสำนักงานการต่างประเทศ ร่วมคณะ โอกาสนี้สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าร่วมการหารือ
วานนี้ (16 มิ.ย. 68) ผู้ว่าฯกทม. และคณะ ได้หารือกับนาย Finn Mortensen ผู้อำนวยการองค์กร State of Green กล่าวถึงเป้าหมายของประเทศเดนมาร์กที่จะมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 70 ให้ได้ภายในปี 2030 และมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 ปัจจุบันประเทศเดนมาร์กใช้พลังงานไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์เป็นหลัก รวมถึงมีการบังคับใช้กฎหมาย เช่น กำหนดการใช้รถยนต์ในเมือง การส่งเสริมให้ใช้รถพลังงานไฟฟ้า และสนับสนุนการใช้จักรยานในการเดินทาง รวมถึงมีการใช้น้ำจากใต้ดินโดยประชาชนต้องเสียค่าธรรมเนียมในการจัดการน้ำตั้งแต่การดึงน้ำมาใช้ นำน้ำมาทำความสะอาด การแจกจ่ายไปยังบ้านต่างๆ และค่าธรรมเนียมในการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับไปยังแหล่งน้ำใต้ดินอีกครั้ง และหากมีระบบประปามีรอยรั่ว จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้รัฐในส่วนนี้ด้วย
จากนั้น ผู้บริหารกทม.ได้หารือร่วมกับ นาย Lars Weiss นายกเทศมนตรีเมืองโคเปนเฮเกน โดยผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า กรุงเทพมหานครมีความยินดีมากที่ได้มีโอกาสดำเนินโครงการร่วมกับราชอาณาจักรเดนมาร์ก ได้แก่ โครงการความร่วมมือ Bangkok, City for Better Health และโครงการนำร่องแยกขยะบนอาคารสูงในพื้นที่กรุงเทพฯ และได้กล่าวถึงความประทับใจที่ชาวโคเปนเฮเกนใช้จักรยานในการเดินทางจำนวนมาก เนื่องจากกรุงเทพมหานครประสบปัญหาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการแยกขยะ โดยผู้ว่าฯกทม.เห็นว่าแม้ว่ากรุงเทพมหานครจะมีความร่วมมือกับประเทศเดนมาร์กในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่กรุงเทพมหานครและโคเปนเฮเกนยังไม่มีความร่วมมือระหว่างกันในฐานะเมือง จึงหวังว่าทั้งสองจะมีความร่วมมือที่ดีระหว่างกันในหลากหลายมิติในอนาคตได้ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา การวางผังเมืองและการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน
ถัดมา ผู้บริหารกทม.ยังได้หารือกับนางสาว Monica Magnussen ผู้อำนวยการโครงการ หน่วยงานออกแบบผังเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของเมืองโคเปนเฮเกน โดย นางสาว Monica ได้นำเสนอการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. การวางผังเมืองที่เน้นความยั่งยืน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน 2. การรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ผ่านแผนด้านคุณภาพอากาศของกรุงโคเปนเฮเกน หรือ CPH Climate Plan 2025 ที่เน้นประเด็นการบริโภคพลังงานที่น้อยลงและใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น การผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การคมนาคมสีเขียว และการบริหารเมือง โดยปัจจุบันโคเปนเฮเกนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ 78 ในปี 2023 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2010 3. การคมนาคม โดยโคเปนเฮเกนมีเป้าหมายให้ประชาชนใช้จักรยาน ขนส่งสาธารณะ และการเดินเพื่อเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของเมืองให้ได้ร้อยละ 75 ภายในปี 2035 โดยโคเปนเฮเกนมีการออกแบบถนนให้เอื้อต่อการปั่นจักรยานและมีการสร้างสะพานที่เป็นทางเดินและทางจักรยานโดยเฉพาะอีกด้วย 4. การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยนางสาว Monica กล่าวว่าชาวโคเปนเฮเกนมีความตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งเกิดอุทกภัยอย่างหนักในเมืองโคเปนเฮเกน โดยโคเปนเฮเกนมีการดำเนินการที่หลากหลายเพื่อการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น การปลูกต้นไม้และปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติโดยไม่ตัดแต่ง และการสร้างแนวป้องกันแนวคลื่นพายุซัดชายฝั่ง (Storm Surge Protection) บริเวณชายฝั่งด้านเหนือและใต้ของเมือง
นอกจากนี้ คณะผู้บริหารกทม.ยังได้ร่วมหารือและเยี่ยมชมสวนพฤกษศาสตร์โคเปนเฮเกน ที่มีการรวบรวมพันธุ์ไม้ที่หลากหลายจากทั่วโลกกว่า 9,000 ชนิด ซึ่งมีการดูแลรักษาพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มาเป็นระยะเวลา 400 ปี ทำให้สวนพฤษศาสตร์ฯ เป็นสวนที่เก็บรักษาพันธุ์ไม้มีชีวิตที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเดนมาร์ก ซึ่งสวนพฤกษศาสตร์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อม และมีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติแห่งใหม่ที่อยู่ภายในสวนฯ อีกทั้งสวนพฤกษศาสตร์ดังกล่าวมีการเก็บรักษาและเพาะพันธุ์กล้วยไม้จากประเทศไทย โดยเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทยเป็นคนแรกที่มีความสนใจด้านพันธุ์ไม้และเป็นนักพฤกษศาสตร์ได้นำเข้ามาเก็บรักษาและเพาะพันธุ์ไว้ อีกทั้งเขียนหนังสือและวาดภาพโครงสร้างพันธุ์กล้วยไม้ไทยหลากหลายสายพันธุ์ที่ประทับใจไว้อย่างละเอียดอีกด้วย โดยสวนพฤกษศาสตร์ฯ มีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่และเก็บรักษาพันธุ์ไม้เพื่ออนาคต
036
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี