‘บิ๊ก กพฐ.‘ ให้เวลา 7 วันตรวจสอบข้อเท็จจริงปมเหตุ ‘ครูมัท’ เสียชีวิต พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางร่วมกับทหารจัดทำคู่มือแนวปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และตรวจสอบหลุมหลบภัยของ ร.ร.ใน 7 จ.ติดชายแดนไทย-กัมพูชา

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวถึงกรณี การเสียชีวิตของครูมัท ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษและเป็นครูการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้เชือกลูกเสือผูกคอเสียชีวิต โดยตนได้รับรายงานเบื้องต้นเมื่อวาน(17 มิ.ย.68)แล้ว ว่าครูของเราคนหนึ่งได้เขียนจดหมายลาตาย ก่อนถูกคอตัวเองเสียชีวิต โดยอ้างเหตุผลว่ามีความทุกข์และมีปัญหาต้องรับผิดชอบเรื่องการเงิน บัญชี พัสดุ ซึ่งก็เป็นปัญหาของโรงเรียนขนาดเล็กโดยทั่วไป ที่ สพฐ.ทราบอยู่แล้ว ว่าทุกโรงเรียนก็ต้องดำเนินการเพราะเรามีงบประมาณที่เป็นเงินค่าจัดการศึกษาที่โอนตรงลงไปที่โรงเรียน ทุกโรงเรียนก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบ ตาม พรบ.การจัดซื้อจัดจ้าง จึงมีปัญหาเรื่องการปฎิบัติ ก่อนอื่นตนก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของครูมัทด้วย  ซึ่งตนก็ได้ สื่อสารกับ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านก็มีความเป็นห่วงว่าเราจะปล่อยให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นต่อไปอีกไม่ได้  ดังนั้นในการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสพฐ. วันนี้ ตนจึงได้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นใหญ่ โดยให้สำนักคลัง หน่วยตรวจสอบภายในของสพฐ. ไปจัดทำคู่มือ ซึ่งคู่มือเรามีอยู่แล้วจึงให้ไปทบทวนว่าประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าจะเกิดเฉพาะในโรงเรียนนี้เท่านั้น อาจจะมีโรงเรียนอื่นที่มีปัญหาแบบนี้ แต่ว่าครูก็ได้ทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นอดทน ดังนั้น สพฐ.จะต้องออกแบบโดยนำกรณีของบุรีรัมย์นี้มาเป็นตัวอย่าง เพื่อออกแบบว่าต่อไปเกี่ยวกับงานจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจรับพัสดุ ซึ่งปกติโดยระเบียบ เมื่อโรงเรียนจะใช้เงินก็จะต้องจัดทำแผนก่อน เช่น จะใช้กระดาษเท่าไหร่ หมึกเท่าไหร่ จะใช้สื่ออะไรเท่าไหร่ ก็ทำแผนความต้องการ และขออนุมัติผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อทำการจัดซื้อจัดจ้าง แล้วก็ต้องมีกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง มีกรรมการตรวจรับพัสดุ และมีกรรมการแจกจ่ายพัสดุ 

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า จากที่ดูในจดหมายที่ครูมัทได้เขียนไว้ก่อนตาย เหมือนกับว่าระบบการบริหารพัสดุที่โรงเรียนของครูมัท ยังมีปัญหาอยู่ ทำให้ครูเกิดความเครียด เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสพฐ.ที่จะต้องออกแบบ และคิดวิธีการ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้โรงเรียนที่มีนักเรียน 60 คนลงมา และมีครูน้อยคน มโดยมอบให้เขตพื้นที่ฯ เข้าไปทำหน้าที่นี้แทน  แต่เนื่องจากโรงเรียนเราอยู่ในบริบทที่ห่างไกล บางโรงเรียนอยู่ห่างจากเขตพื้นที่ฯถึง 80-100  กิโล การเดินทางมีความยากลำบาก พอสอบถามไปทางเขตพื้นที่ฯก็บอกว่าทางโรงเรียนยังอยากทำเองอยู่   สพฐ.จึงต้องคิดหลายๆรูปแบบ แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ว่าสพฐ.และกระทรวงศึกษาธิการไม่รับรู้ เรารับ  ซึ่งก่อนหน้านี้ สพฐ.เคย ส่งครูธุรการไปอยู่ทุกโรงเรียน แต่ช่วงหลังๆนี้จำนวนครูธุรการลดลงไปเรื่อยๆเพราะปัจจุบันเราได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น สพฐ.และกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องนำไปคิดว่าระบบเดิม รูปแบบเดิมที่ทำอยู่นั้น อันไหนที่เราจะต้องปรับปรุงและแก้ไข แล้วจะต้องรีบดำเนินการอย่างเร่วด่วน และจะต้องเร่งลดภาระครู ตามนโยบายของ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. 

เลขาธิการ กพฐ.ย้ำว่า  ขณะนี้ สพฐ.ลดภาระครูไปได้หลายเรื่องมากแล้ว เพื่อให้ครูได้ทำหน้าที่สอนเป็นหลัก ส่วนภาระอื่นก็จะต้องมีหน่วยอื่นเข้ามาช่วย หรือโรงเรียนเล็กๆที่มีครูจำนวนน้อยคน ก็ให้เขตพื้นที่ฯ เข้ามาทำหน้าที่เหล่านี้แทนโรงเรียน  ซึ่งวันนี้สพฐ. ก็กำลังประชุมเพื่อจะออกแบบในเรื่องนี้แล้ว เดิมโรงเรียนเคยมีธุรการครบทุกโรงเรียน เหมือนมีภารโรงครบทุกโรงเรียน แต่ตอนนี้เรามองว่าธุรการใช้ร่วมกันได้ เพราะวันนี้เรามีเทคโนโลยี เรามีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานร่วมกันได้ แต่ภารโรงยังคงจำเป็ต้องมีเพราะต้องตัดหญ้า ดูแลอาคารสถานที่ แต่ธุรการอาจจะใช้รวมกัน โรงเรียน 3-4 แห่งใช้ธุรการคนเดียวกัน เพราะข้อมูล แบบฟอร์มต่างๆเดี๋ยวนี้อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์หมดแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เรากำลังคิดกันอยู่ เพราะเป็นภาระด้านงบประมาณที่ค่อนข้างมาก เนื่องจาก สพฐ. มีโรงเรียนในสังกัดเกือบ 3 หมื่นโรง ถ้าต้องจัดตำแหน่งการเงิน พัสดุไปให้ทุกโรงเรียนก็จะต้องใช้เงินค่อนข้างสูงมาก จึงได้นำเทคโนโลยีและวิธีการอื่นๆที่สามารถลดภาระครูได้เข้ามาช่วย

“ผมได้ย้ำกับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ให้ไปเน้นย้ำกับผู้อำนวยการโรงเรียน ว่า ขอให้เน้นปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด ผมเข้าใจว่าโรงเรียนที่ครูมัทอยู่ มีเรื่องทำให้ครูเครียดและต้องฆ่าตัวตาย น่าจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ ครูมัทเขียนไว้ในจดหมายว่าต้องตามแก้ปัญหาตลอด แสดงว่าน่าจะไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ระเบียบกำหนดเอาไว้  เพราะตั้งข้อสังเกตว่าโรงเรียนเรามีเกือบ 30,000 โรงมทำไมมีปัญหาแบบนี้อยู่ที่นี่ที่เดียว  ในวันนี้ผมจึงได้สั่งการให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1 ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกับผู้เกี่ยวข้องในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งหมด ตั้งแต่ผอโรงเรียน เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่การเงิน และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดต้องถูกสอบข้อเท็จจริงให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียนนี้ ถึงทำให้เกิดปัญหาได้ขนาดนี้ ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติแน่นอน ผมให้เวลาในการตรวจสอบเรื่องนี้ 7 วัน จะต้องได้คำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขอให้เป็นเครสสุกท้ายที่จะเกิดขึ้นกับครูของพวกเรา เพราะกว่าเราจะได้คนมาเป็นครูหนึ่งคน ถือว่าได้มาด้วยความยาก จะต้องรักษาครูให้ทำหน้าที่สอนเด็กไว้ให้ดีที่สุด“ เลขาธิการ กพฐ. กล่าว และว่า 

ขณะนี้ สพฐ.ยังไม่มีข้อมูลว่าครูมัทเคยมีการร้องเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นไปที่ใดบ้างหรือไม่ แต่ตนทราบว่า ทาง สพป.บุรีรัมย์เขต 1 จะลงไปตรวจสอบภายในของโรงเรียนที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นการเข้าไปตรวจสอบประจำ ตามแผนการตรวจทุกปีอยู่แล้ว เพื่อให้การดำเนินการทางด้านพัสดุเป็นไปตามระเบียบ แต่เมื่อทางครูมัททราบว่าทางเขตจะเข้าไปตรวจ ก็อาจจะติดมากและเกิดความเครียด

เลขาธิการ กพฐ.กล่าว เพิ่มเติมว่า ในวันนี้ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. พร้อมมอบให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ลงไปร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายความมั่นคง เพื่อลงไปตรวจสอบในโรงเรียนที่อยู่ติดชายแดนไทย -กัมพูชา 7 จังหวัด  เพื่อจัดทำคู่มือปฏิบัติ รวมถึงตรวจสอบหลุมหลบภัย หรือบังเกอร์ ของโรงเรียนเหล่านี้ ให้มีความถูกต้องและปลอดภัยสูงสุดสำหรับนักเรียน เพราะตามที่ตนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา หลุมหลบภัยและบังเกอร์ของแต่ละโรงเรียนมีไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงต้องไปร่วมกันดูแลเรื่องสภาพของหลุมหลบภัย ความปลอดภัยและการเคลื่อนตัวของเด็กๆหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจะเคลื่อนตัวไปยังหลุมหลบภัยอย่างไร ต้องมีครูควบคุม ต้องมีหัวหน้าห้อง หรือรองหัวหน้าห้องดูแลอย่างไร โดยเน้นให้เกิดความรวดเร็วรวมถึง รวมถึงบังเกิดที่เก่าขำรุดจะต้องปรับปรุงให้มีความแข็งแรง เพราะ เรายังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดการสู้รบกันหรือไม่ แต่จะต้องสร้างหลุมหลบภัยที่มีความมั่นคงแข็งแรงเพื่อ ความปลอดภัยของลูกๆนักเรียนของเราทุกคนให้มีความปลอดภัยสูงสุด ยืนยันว่าสพฐ.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยเพราะจากที่ลงไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนภูมิซรอน จังหวัดศรีสะเกษ พบว่ามีปัญหาในเรื่องการเคลื่อนที่ของเด็กๆ เนื่องจากกลุ่มหลบภัยยังอยู่ห่างจากอาคารเรียน การเดินทางไปยังหลุมไทยยังมีความเสี่ยงอยู่เนื่องจากมีระยะห่างไกล  ดังนั้น หลุมหลบภัยอาจจะต้องอยู่ใกล้กับอาคารเรียนของเด็ก เพื่อว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น เด็กจะได้วิ่งเข้าไปในหลุมหลบภัยได้ทันที ดังนั้น ต้องทำเป็นคู่มือปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้เด็กอยู่ที่โรงเรียนเหล่านี้มีความปลอดภัยที่สุด